ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


ข้อความ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 7
1
ออล นิว ไทรทัน: มิตซูบิชิ ประเทศไทย เปิดจอง Triton Athlete 2/4 WD แล้ววันนี้

มิตซูบิชิ ประเทศไทย ประกาศราคาจำหน่าย Mitsubishi Triton Athlete 2024 อย่างเป็นทางการ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,125,000 บาท ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาเริ่มต้นที่ 1,298,000 บาท สีขาว White Diamond เพิ่ม +10,000 บาททั้ง 2 รุ่นเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ล็อตแรกพร้อมส่งมอบในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้

Triton Athlete ออกแบบภายใต้แนวคิด “BEAST MODE” ตัวรถมากับตัวถังสีพิเศษ ส้ม Yamabuki Orange Metallic ซึ่งเป็นสีเฉพาะรุ่น Athlete เสริมด้วยสีมาตรฐาน ดำ Jet Black Mica, เทา Graphite Grey และขาว White Diamond จับคู่กับห้องโดยสารที่ตกแต่งแบบสปอร์ตด้วยคู่สีทูโทน ส้ม-ดำ

ทั้ง 2 รุ่นใช้เครื่องยนต์ Hyper Power X2 อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จแบบ 2 สเตจ (Two-stage Turbocharger) กำลังสูงสุดผลิตได้ถึง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 47.8 กก.-ม. มั่นใจด้วยพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS)

ไฮไลท์ของ Triton Athlete รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II หรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจาก 2H เป็น 4H ได้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly) เสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง Active Yaw Control (AYC) พร้อม 7 โหมดการขับ ประกอบด้วย Normal, Eco, Gravel, Snow, Mud, Sand และ Rock

นอกจากนี้ Triton Athlete ยังมีเทคโนโลยี MITSUBISHI CONNECT รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชัน My MITSUBISHI CONNECT ช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งงานตัวรถระยะไกล อาทิ การเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสาร, ล็อค – ปลดล็อคประตูรถ, เปิดไฟหน้า, กดแตรรถ และการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถ รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือ, ระยะทางที่วิ่งต่อได้, ความดันลมยาง

ฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ ยังมี บริการช่วยเหลือบนถนน Roadside Assistance, การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ, การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม Stolen Vehicle Assistance และระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call)

ระบบความปลอดภัยมี ระบบ Diamond Sense with Adaptive Cruise Control ล็อคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ, ระบบ Forward Collision Mitigation System เตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว, ระบบ Blind Spot Warning เตือนจุดอับสายตา, ระบบ Lane Change Assist แจ้งเตือนขณะเปลี่ยนเลน, ระบบ Rear Cross Traffic Alert เตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด, ระบบ Auto High Beam ปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ฟังก์ชั่นกล้องมองภาพรอบคัน Multi Around Monitor (MAM)

มิตซูบิชิระบุว่า เทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI รอบคัน ให้ความปลอดภัยแบบ 360 องศา และยังมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Hill Start Assist ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบ Hill Descent Control ควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน, ระบบเบรค ABS / EBD และ BA, ระบบ ASC ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว, ระบบ TCL ป้องกันการลื่นไถล, ฟังก์ชั่นเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบควบคุมด้วยเบรก หรือ Active LSD และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

สำหรับโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE หรือ Reinforced Impact Safety Evolution สามารถรองรับแรงปะทะ และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพของห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด โดย Triton ทุกรุ่นย่อย ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาว จากการทดสอบการชนโดย ASEAN NCAP

2
ระวัง ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่ให้ อาหารสายยาง !

การให้อาหารทางสายยางแก่ผู้ป่วยนั้น ถือเป็นเรื่องที่มักพบได้บ่อย ซึ่งเป็นการรักษาทางการแพทย์อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ หรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว เกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งการให้อาหารทางสายยางนั้น ผู้ดูแลจะต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการให้อาหารและอาหารที่จะนำมาให้ผู้ป่วยนั้นจะต้องมีขั้นตอนกระบวนการการผลิตที่สะอาด วัตถุดิบจะต้องมีความสะอาด ต้องผลิตในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมสะอาด และที่สำคัญมีการควบคุมการผลิตโดยนักโภชนาการที่มีความชำนาญในเรื่องของการออกแบบสูตรอาหารเพื่อผู้ป่วย

เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคบางโรคจะต้องมีการรับประทานอาหารที่จำกัด วัตถุดิบบางชนิดก็ห้ามรับประทาน หรือบางกรณีผู้ป่วยอาจจะมีการแพ้อาหาร ซึ่งข้อมูลประจำตัวของผู้ป่วยจะต้องมีการแจ้งให้นักโภชนาการรับทราบ เพื่อที่จะได้ออกแบบอาหารมาเหมาะสมกับร่างกายผู้ป่วย รวมไปถึงสัดส่วนและปริมาณ เพื่อป้องการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในผู้ป่วยนั้น ถือเป็นเรื่องที่อันตรายพอสมควร เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เช่นเดียวกันกับการรับประทานยา ก็จะทำให้ลำบากขึ้น เพราะฉะนั้นควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด อาหารการกินของผู้ป่วยจะต้องมีความสะอาด และถูกสุขลักษณะมากที่สุด

สำหรับภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยนั้น มักพบได้บ่อย เพราะเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้ปกติ เรื่องของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงมักพบได้บ่อย สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางสายยาง คือภาวะท้องเดินหรืออาการท้องเสียนั่นเอง สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องเสีย ส่วนใหญ่เกิดจากการเตรียมอาหารที่ไม่สะอาด อาหารมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค หรือการให้อาหารในอัตราที่เร็วเกินไป อาหารเย็นเกินไป

อาหารที่ให้ผู้ป่วยมีความเข้มข้นของอาหารเหลวที่ให้มากเกินไป อาหารมีปริมาณไขมันสูงเกิน 20 กรัมต่อลิตร ต่อมาภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้บ่อยเช่นกัน คือภาวะการขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นผลต่อเนื่องจากปัญหาท้องเดิน หรือในผู้ป่วยรายที่ได้อาหารเข้มข้นสูง นอกจากจะสูญเสียน้ำจากอาการท้องเดินแล้วร่างกายยังต้องการน้ำเพิ่มเพื่อมาเจือจางอาหารที่เข้มข้นเกินไป และในผู้ป่วยที่ได้โปรตีนในปริมาณมากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาขาดน้ำได้ นอกจากนี้การสำลักในผู้ป่วยที่ให้อาหารทางสายยาง ซึ่งผู้ดูแลจะต้องระวังเกี่ยวกับอาการสำลัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว จะเสี่ยงอันตรายมากเพราะจะเข้าไปที่หลอดลมลงสู่ปอดเกิดภาวะปอดอักเสบจากการสำลักได้ ซึ่งถ้าผู้ป่วยเกิดการสำลักอาหาร ผู้ดูแลควรหยุดการให้อาหารทันที และควรรีบแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป หากปล่อยไว้นานอาจจะเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยได้

และอีกภาวะแทรกซ้อนที่มักพบได้บ่อยมากที่สุดในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องให้ อาหารทางสายยาง คือ การเกิดโรคขาดสารอาหาร พบได้ในผู้ป่วยที่ได้รับอาหารผ่านสายยางเป็นระยะเวลานาน แต่ผู้ป่วยอาจจะได้รับอาหารที่มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วน ที่พบบ่อย คือได้อาหารที่เป็นแหล่งพลังงานไม่เพียงพอ มีสารอาหารที่ไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้ร่างกายผู้ป่วยเกิดการขาดวิตามิน และเกลือแร่ ที่พบบ่อยคือภาวะโซเดียมต่ำ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายมากต่อผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ ซึ่งจุดประสงค์หลักๆของการให้อาหารทางสายยางก็คือการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดโรคขาดสารอาหารนั่นเอง เพราะถือว่าเป็นภาวะที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย

หากเกิดอาการอย่างรุนแรง ทั้งนี้การให้อาหารทางสายยางอาจจะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะโรคอ้วนอีกด้วย ถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยาง อาจจะไม่ได้รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ก็เสี่ยงการเกิดภาวะโรคอ้วนได้เช่นกัน ผู้ป่วยที่ได้อาหารทางสายยาง ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ต้องนอนพักบนเตียง ไม่ค่อยมีกิจกรรมการเคลื่อนไหว ดังนั้นเมื่ออยู่ในช่วงพักฟื้น ควรปรับลดปริมาณของพลังงานให้ลดลง เพื่อป้องกันปัญหาการได้รับโภชนาการเกินจนเกิดโรคอ้วนได้ เพราะฉะนั้น ผู้ดูแลควรสังเกตอาการและรูปร่างของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ผู้ดุแลควรรีบแจ้งแพทย์ผู้รักษาทันที เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย

3
หมอออนไลน์: โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome/Hypercortisolism)

โรคคุชชิง (กลุ่มอาการคุชชิง ก็เรียก) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะมีกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid ซึ่งเป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มหนึ่ง) มากเกิน เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ติดต่อกันนาน ๆ ในบ้านเราพบว่าเกิดจากการใช้สารที่มีสเตียรอยด์ปะปนในรูปของยาชุด ยาหม้อ และยาลูกกลอนที่ผู้ป่วยนิยมซื้อใช้เองโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจากนี้อาจพบในผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการบำบัดรักษาโดยแพทย์ เช่น เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคไตเนโฟรติก ผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

ส่วนน้อยเกิดจากต่อมหมวกไต* สร้างฮอร์โมน กลูโคคอติคอยด์ (ส่วนใหญ่ได้แก่ คอร์ติซอล) มากเกิน ดังที่เรียกว่า ภาวะคอร์ติซอลเกิน (hypercortisolism) ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเนื้องอกของอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ เช่น

    เนื้องอกต่อมหมวกไต (adrenal adenoma) และมะเร็งต่อมหมวกไต (adrenal carcinoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากผิดปกติ
    เนื้องอกต่อมใต้สมอง (pituitary adenoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน
    เนื้องอกอื่น ๆ ที่พบบ่อย คือมะเร็งปอดชนิด small cell lung carcinoma และเนื้องอกคาร์ซิ-นอยด์ (carcinoid tumor ซึ่งพบในทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี ต่อมไทมัส รังไข่ อัณฑะ เป็นต้น) เนื้องอกเหล่านี้สามารถสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน

สำหรับเนื้องอกต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 25-40 ปี ส่วนมะเร็งปอดพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป

การที่ร่างกายมีสารสเตียรอยด์ (ไม่ว่าในรูปของคอร์ติซอลที่ร่างกายสร้างเอง หรือสารสังเคราะห์ที่รับจากภายนอก) อยู่นาน ๆ ส่งผลให้มีการสะสมไขมันตามร่างกาย (ทำให้อ้วนและมีก้อนไขมันพอก) การสลายตัวของโปรตีนของกล้ามเนื้อ (ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาลีบ อ่อนแรง) การสลายตัวของแคลเซียมในกระดูก (ทำให้กระดูกพรุน นิ่วไต) การสร้างกลูโคสที่ตับจากโปรตีนและไขมัน (gluconeogenesis) แล้วปล่อยออกมาในกระแสเลือด (ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน) การยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดและคอลลาเจน (ทำให้ผิวบาง หนังลาย ฟกซ้ำง่าย แผลหายยาก) การคั่งของโซเดียมในร่างกาย (ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง) เพิ่มการสร้างฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจน (ทำให้สิวขึ้น ขนอ่อนขึ้น ประจำเดือนผิดปกติ) ส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ (ทำให้มีอารมณ์เคลิ้ม วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อยากอาหาร) กดภูมิคุ้มกัน (ทำให้ติดเชื้อง่าย) กดการสร้างกระดูกและฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต (ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า)

*ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต่อมไร้ท่อรูปร่างคล้ายผลองุ่นอยู่ตรงส่วนบนของไต (คล้ายหมวกที่ครอบอยู่เหนือยอดไต) ทั้งสองข้างประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนแกน (medulla) กับส่วนเปลือก (cortex)

ต่อมหมวกไตส่วนแกน มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนอะดรีนาลิน (adrenaline) กับนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) ซึ่งจะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต การสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะถูกกระตุ้นโดยสมอง
ส่วนต่อมหมวกไตส่วนเปลือก จะสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid) 3 กลุ่ม ได้แก่

1. แอลโดสเตอโรน (aldosterone) มีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม โซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุล

2. ฮอร์โมนเพศ ได้แก่ ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน) ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างที่อัณฑะและรังไข่

3. กลูโคคอร์ติคอยต์ (glucocorticoid) มีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ คอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มนี้มีหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิซึม (กระบวนการแปรรูปอณู) โดยการสังเคราะห์ (anabolism) และแตกตัว (catabolism) ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้ร่างกายเกิดพลังงาน อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้ปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับความเครียด (เช่น การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย การติดเชื้อ การทำงานหนัก ความเครียดทางอารมณ์) ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบรรเทาการอักเสบ และควบคุมภาวะภูมิแพ้และปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง การสร้างฮอร์โมนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH/adrenocorticotropic hormone) ซึ่งสร้างโดยต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์ และการสร้างเอซีทีเอชก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนซีอาร์เอช (CRH/corticotropin-releasing hormone) ซึ่งสร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสอีกต่อหนึ่ง ในขณะเดียวกันคอร์ติซอลก็ทำหน้าที่ในการทำปฏิกิริยาป้อนกลับต่อฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีคอร์ติซอลมากเกิน ก็จะไปยับยั้งไม่ให้สร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งจะทำให้ต่อมหมวกไตลดการสร้างคอร์ติซอลลง ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยก็คือ การที่ผู้ป่วยใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ ได้แก่ เพร็ดนิโซโลน (prednisolone) และเดกซาเมทาโซน (dexamethasone) ซึ่งออกฤทธิ์เป็น 5 และ 40 เท่าของคอร์ติซอลตามลำดับ ติดต่อกันนาน ๆ จะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งมีผลทำให้ต่อมหมวกไตฝ่อ สร้างคอร์ติซอลได้น้อยลง ถ้าหากมีการหยุดใช้สารสเตียรอยด์สังเคราะห์ทันทีทันใด อาจทำให้เกิดภาวะขาดสเตียรอยด์เฉียบพลัน กลายเป็นภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis) ได้

อาการ

มักจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นแรมเดือน ในระยะแรกจะพบว่าผู้ป่วยหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แลดูเป็นหนอก ซึ่งทางภาษาแพทย์ เรียกว่า อาการหนอกควาย (buffalo’s hump) รูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง

ผิวหนังจะออกเป็นลายสีคล้ำ ๆ ที่บริเวณท้อง (ท้องลายคล้ายคนหลังคลอด) บริเวณสะโพก กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา ผิวหนังบางและมีจ้ำเขียวพรายย้ำง่ายเวลาถูกกระทบกระแทก

มักมีสิวขึ้นที่หน้า หน้าอก หลัง และมีขนอ่อนขึ้นที่หน้า ลำตัว และแขนขา (ถ้าพบในผู้หญิงทำให้ดูว่าคล้ายมีหนวดขึ้น) กระดูกอาจผุกร่อน มักทำให้มีอาการปวดหลัง (เพราะกระดูกสันหลังผุ) หรือกระดูกแตกหักง่าย

อาจมีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการของเบาหวาน

ผู้หญิงอาจมีเสียงแหบห้าว มีขนมากแบบผู้ชาย ประจำเดือนมักจะออกน้อยหรือไม่มาเลย และมีบุตรยาก

ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกอยากอาหาร ไม่มีความรู้สึกทางเพศ อาจมีอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้าหรือกลายเป็นโรคจิต

ในรายที่เป็นเนื้องอกต่อมได้สมอง มักมีอาการปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะตอนกลางคืน ตามัว มีน้ำนมไหลผิดธรรมชาติ และอาจมีอาการของภาวะขาดไทรอยด์ร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เช่น หัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก โรคหัวใจขาดเลือด

อาจมีการติดเชื้อง่ายซึ่งจะพบบ่อยที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก

อาจทำให้เป็นแผลเพ็ปติก ต้อกระจก ต้อหินเรื้อรัง กระดูกหักง่าย นิ่วไต หรือเป็นโรคจิต

ถ้าพบในเด็กอาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการใช้สารสเตียรอยด์มากเกิน ถ้าหากหยุดสเตียรอยด์ทันที (steroid withdrawal) หรือขณะเกิดการเจ็บป่วย ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "ภาวะช็อก") เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน พุงป่อง หน้าอูม มีก้อนไขมันขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและต้นคอด้านหลัง แขนขาลีบ หน้ามีสิวและขนอ่อนขึ้น ท้องลาย ก้นลาย ผิวหนังบาง พบจ้ำเขียวพรายย้ำ ความดันโลหิตสูง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจระดับคอร์ติซอลในเลือดและปัสสาวะ ซึ่งพบว่าสูงกว่าปกติ ตรวจระดับเอซีทีเอช (ACTH) ซึ่งจะพบว่าต่ำในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมหมวกไต และพบว่าสูงในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมใต้สมอง และอาจทำการทดสอบที่เรียกว่า “Dexamethasone suppression test”* และอาจจำเป็นต้องทำการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาเนื้องอกต่าง ๆ

นอกจากนี้อาจต้องทำการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตรวจเลือด (พบน้ำตาลสูง ไขมันชนิดแอลดีแอลและไตรกลีเซอไรด์สูง โพแทสเซียมต่ำ) เอกซเรย์ (พบร่องรอยกระดูกหัก หัวใจห้องล่างซ้ายโต นิ่วไต)

* โดยให้สเตียรอยด์สังเคราะห์ได้แก่ เดกซาเมทาโซน แก่ผู้ป่วยตอนกลางคืน (23:00 น.) แล้ววัดระดับคอร์ติซอลในเลือดตอนเช้า (08.00 น.) ถ้าพบว่ามีค่าต่ำลงมาก ก็มักจะไม่ใช่โรคคุซซิง (เนื่องจากสารนี้จะไปกดต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไตจนลดการสร้างคอร์ติซอล) แต่ถ้าลดลงบางส่วนก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง ถ้าไม่ลดก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีสาเหตุจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน แพทย์จะยังคงให้ผู้ป่วยกินยาสเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน แต่จะหาทางค่อย ๆ ลดขนาดของยาลงทีละน้อย และทำการตรวจวัดระดับคอร์ติซอลในเลือดเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีระดับต่ำ จนกลับสู่ระดับปกติในที่สุด ซึ่งมักจะใช้เวลานานเป็นปี จึงจะหยุดยาสเตียรอยด์

ถ้ามีสาเหตุจากการเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แล้วให้กินยาสเตียรอยด์ทดแทนไปจนตลอดชีวิต เพราะภายหลังการผ่าตัดร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดนี้เองไม่ได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง มีอาการหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) หรือมีรูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคคุชชิง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วอาการไม่ทุเลา มีอาการมีไข้ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หรือมีการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ และยาชุด ยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์มาใช้เอง

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์มากเกินเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้พร่ำเพรื่อ หรือใช้อย่างผิด ๆ (เช่น การซื้อยาชุด ยาหม้อ หรือยาลูกกลอนที่มียานี้ผสมกินเป็นประจำ) ยกเว้นโรคบางโรคอาจต้องใช้ยานี้รักษา ซึ่งก็ควรจะอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

2. ในรายที่เป็นโรคคุชชิงจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน ระหว่างรอไปพบแพทย์ ห้ามหยุดยาสเตียรอยด์ทันที ควรให้กินสเตียรอยด์ต่อไปจนกว่าแพทย์จะปรับลดขนาดลง มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะขาดสเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน จนเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

3. โรคนี้ถ้าไม่รักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อน เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

4. ในรายที่เกิดจากเนื้องอกชนิดไม่ร้าย การผ่าตัดจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติได้ แต่จะต้องกินสเตียรอยด์เข้าไปทดแทนในร่างกายตลอดไป ห้ามขาดยาเป็นอันขาด

4
motor expo 2025: โตโยต้าจัดคาราวาน Revo และ Champ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมมอบส่วนลด 30% ให้ถึงสิ้นปี

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, ชมรมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ และบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนคาราวานรถกระบะ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และไฮลักซ์ แชมป์ จำนวนรวม 7 คัน ส่งมอบข้าวรัชมงคล 11 ตัน พร้อมถุงยังชีพ 2,000 ชุด เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567

 จากสถานการณ์อุทกภัยที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของพี่น้องชาวภาคเหนือเป็นอย่างมาก ขณะที่ทุกภาคส่วนต่างระดมความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้  ในวันที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤติ พลังแห่งความร่วมมือคือสิ่งสำคัญยิ่งในการช่วยเหลือเกื้อกูล

มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, ชมรมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า  ทั่วประเทศ และบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด มีความห่วงใยและตั้งใจในการร่วมช่วยเหลือคนไทย ให้ก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันโดยเร็วที่สุด จึงได้ร่วมมือกันสนับสนุนถุงยังชีพ จำนวน 2,000 ชุด ข้าวรัชมงคล 11 ตัน และสุขากระดาษจากมูลนิธิเอสซีจี (SCG Foundation) จำนวน 300 ชุด เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดือดร้อนในแต่ละพื้นที่ และชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับผู้แทนจำหน่ายฯ ตลอดจนส่งรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และไฮลักซ์ แชมป์ จำนวนรวม 7 คัน เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่

นอกจากนี้ทาง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ร่วมเติมเต็มความช่วยเหลือในครั้งนี้ โดยขอมอบส่วนลด 30% สำหรับค่าอะไหล่และเคมีภัณฑ์ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย สำหรับลูกค้าโตโยต้าทุกรุ่นที่รับภาระค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง นอกเหนือจากความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัย สามารถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการซ่อมทั่วไป หรือศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสี ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธันวาคม 2567

 มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ขอยืนหยัด   พันธกิจในการสนับสนุน และเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยทุกคนมีขวัญ และกำลังใจ ร่วมฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัย



5
ตับอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้ทัน ป้องกัน รักษาได้

“ตับ” เป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสำคัญทำหน้าที่กรองของเสีย ขจัดสารพิษตกค้างที่ได้รับจากการรับประทานอาหารให้ออกไปจากร่างกาย หากเกิดภาวะตับอักเสบขึ้นมา ก็จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเกิดความผิดปกติตามมา และอาจอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งการเกิดตับอักเสบนั้น อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือสาเหตุอื่นๆ อย่างการดื่มแอลกอฮอล์ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา สารพิษบางชนิด ฉะนั้นการตรวจคัดกรองสุขภาพตับ หรือตรวจเช็กสุขภาพประจำปี จะช่วยให้สามารถหาแนวทางการป้องกันและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ได้

ตับอักเสบเป็นอย่างไร

ตับอักเสบ คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบจากสาเหตุอะไรก็ตาม มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง หากการอักเสบของตับไม่หายไปและเป็นแบบเรื้อรัง จะเกิดพังผืด หรือแผลเป็นในเนื้อตับ เมื่อเป็นมากขึ้น จนกระจายทั่วทั้งตับ เรียกว่า ภาวะตับแข็งและมีโอกาสสูงที่จะมีมะเร็งตับแทรกซ้อนขึ้นได้
ตับอักเสบ มี 2 ประเภท

    ภาวะเฉียบพลัน คือ ตับอักเสบที่เกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตามที่การอักเสบหายได้เองในระยะ 6 เดือน
    ภาวะเรื้อรัง คือ ตับอักเสบจากสาเหตุใดก็ตาม ที่ไม่หายเองภายใน 6 เดือน โดยการตรวจเลือดพบมีร่องรอยของการอักเสบ และมักไม่มีอาการบ่งบอกจนกว่าจะถึงระยะสุดท้ายของโรค หรือตับวาย

ตัวการที่ทำให้ตับอักเสบ

ตับอักเสบอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
        ไวรัสตับอักเสบเอ และอี มักมีการติดต่อหรือแพร่เชื้อผ่านทางการรับประทานอาหาร หรือการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสซึ่งออกมาจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
        ไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อหลักทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน อาจติดจากมารดาสู่ทารก
        ไวรัสตับอักเสบดี มีการติดต่อจากเลือดของผู้ที่ติดเชื้อโดยตรง และเกิดขึ้นกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เท่านั้น เพราะไม่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้หากไม่มีไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย เป็นชนิดที่รุนแรงแต่พบได้น้อย
    การดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี อาจเป็นเหตุให้ตับเกิดความเสียหายหรืออักเสบได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดตับแข็ง
    การใช้ยาและได้รับสารพิษบางชนิด โดยการใช้ยาเกินปริมาณและเกินระยะเวลาที่กำหนด หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิดในปริมาณน้อยก็อาจสร้างความเสียหายต่อตับได้ เช่น ยาพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟ่น ยารักษาวัณโรค รวมถึงยาฮอร์โมน วิตามินบำรุง หรือสมุนไพรต่างๆ
    ภาวะไขมันพอกตับ สัมพันธ์กับภาวะต่างๆ ได้แก่ โรคอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่อ้วนลงพุง ผู้ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ การรับประทานอาหารพลังงานสูงเป็นประจำ เช่น แป้ง น้ำตาล ไขมัน
    สาเหตุอื่นๆ เช่น การติดเชื้อจากโรคไข้เลือดออก ไข้รากสาด ไข้ป่า การอุดกันทางเดินน้ำดี จากภูมิแพ้ตนเอง เป็นต้น

อาการของตับอักเสบ

สามารถพบได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ แต่ทราบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าค่าตับผิดปกติ เมื่อมีการอักเสบมากขึ้น จะเริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง หรือ ภาวะดีซ่าน หรือหากร้ายแรงจนถึงขั้นเรื้อรังจนเซลล์ตับถูกทำลายมากๆ อาจทำให้กลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด

การตรวจวินิจฉัยตับอักเสบ

มักพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพ แล้วพบว่าค่าตับผิดปกติ โดยเบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วย เพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรค และอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยตับอักเสบร่วมด้วย ได้แก่

    การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาค่าการทำงานของตับ ได้แก่ ค่า ALT, AST, ALP ที่ผิดปกติ หรือการตรวจหาเชื้อไวรัส
    การตรวจตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (Fibroscan) เป็นการตรวจไขมันในตับและการตรวจพังผืดในตับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับรวมถึงระดับพังผืดและตับแข็งได้โดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว ใช้เวลาไม่นาน

การรักษาตับอักเสบ

วิธีการรักษาจะแตกต่างกันตามสาเหตุ และความรุนแรงของตับอักเสบ ดังนี้

    จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
        ไวรัสตับอักเสบเอ และอี เป็นการติดเชื้อที่ค่อนข้างเฉียบพลันและหายเองได้ในระยะสั้น แพทย์อาจแนะนำให้นอน พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
        ไวรัสตับอักเสบดี พบได้น้อยมาก ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัส
        ไวรัสตับอักเสบบี เมื่อพบว่าเป็นแบบเฉียบพลันส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เอง หากเป็นแบบเรื้อรังผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือยาอื่นๆ แพทย์ต้องประเมินการรักษาเป็นประจำ และรักษาอย่างต่อเนื่อง
        ไวรัสตับอักเสบซี ปัจจุบันมียาต้านเชื้อไวรัสชนิดรับประทานที่ได้ผลดี สามารถรักษาจนหายขาดได้
    จากการดื่มแอลกอฮอล์ ควรหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยการรักษาด้วยยานั้นจะใช้ในกรณีบรรเทาอาการ เช่น การใช้ยาลดการอักเสบของตับ
    จากการใช้ยาและได้รับสารพิษบางชนิด รักษาได้ด้วยการหยุดใช้ยาหรือสารที่เป็นต้นเหตุ และรักษาตามอาการป่วยอื่นๆ ที่เกิดขึ้น
    จากภาวะไขมันพอกตับ หากพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แพทย์จะพิจารณาให้ยารับประทานตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหลีกเลี่ยงหรืองดความเสี่ยงๆ หรือปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ

การดูแลตัวเองของผู้ป่วยตับอักเสบ

    ควรรับประทานอาหารเหมาะสม เป็นอาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาดและครบทุกหมู่
    หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น รวมถึงยาสมุนไพร ยาลูกกลอนและอาหารเสริมจำนวนมาก
    ผู้ป่วยตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สุก สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรง
    หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ทุกชนิด
    ออกกำลังกายสม่ำเสมอผู้ป่วยตับอักเสบควรเลือกการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมเหมาะกับวัย เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ
    ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทุกครั้งในการใช้ยา
    ควรตรวจเลือดทุก 3-6 เดือนและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน

ตับอักเสบป้องกันได้อย่างไร

    หลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่
        การเจาะ สักผิวหนัง
        การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
        การใช้ของมีคมร่วมกับบุคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
        การมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน
        บุคลากรทางการแพทย์ ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
        หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพื่อให้ตับได้พักจากการทำงานหนัก และป้องกันความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์
    หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรพบแพทย์เพื่อประเมินว่ามีความจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ เพื่อป้องกันทารกการติดเชื้อ
    การฉีดวัคซีน โดยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี จะมีประสิทธิภาพดี โดยฉีดเพียง 3 เข็ม (0,1,6 เดือน) สามารถสร้างภูมิต้านทานได้มากกว่าร้อยละ 95 ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต รวมทั้งวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอด้วยเช่นกัน

6
บ้านติดรถไฟฟ้า บริทาเนีย ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek - Nakhon In)
เริ่มต้น 6.09 ลบ.

บริทาเนีย ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek - Nakhon In)
บ้านดีไซน์ใหม่ สไตล์ English Gable ทำเลใจกลางราชพฤกษ์ ที่สุดของความเป็น Community ใกล้ The Walk ราชพฤกษ์ เชื่อมต่อจตุจักร-สาทร เพียง 15 นาที เอกสิทธิ์ส่วนตัวเพียง 99 ครอบครัว

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              บริทาเนีย ราชพฤกษ์ - นครอินทร์ (Britania Ratchaphruek - Nakhon In)
 เจ้าของโครงการ         เอช เซม
 ราคา                      เริ่มต้น 6.09 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         19 ไร่ 3 งาน 28 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             99 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด      1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน             ตั้งแต่ 35.8 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย           ตั้งแต่ 165 ถึง 220 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             2 ชั้น
 หน้ากว้าง              ตั้งแต่ 8.1 ถึง 10.2 ม.
 จำนวนห้องนอน      4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ        2 คัน
 สาธารณูปโภค            สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (Smart Home Security, Digital Door Lock, IP Camera, Motion Sensor, Smoke & Heat Detector, Smart Siren Alarm, Fiber Optic Internet, USB Port Outlet), Keycard System, Home Automation

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง            95 หมู่ 10 ซอยบางเลน 21 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140

 ขนส่งสาธารณะ          ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(บางพลู)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดเจ้าพระยา
The Walk ราชพฤกษ์
Home Pro ราชพฤกษ์
The Crystal Park ราชพฤกษ์
Central Plaza Westgate / IKEA
Central Plaza รัตนาธิเบศร์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี
โรงเรียนเด่นหล้า พระราม 5
โรงพยาบาลบางใหญ่
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์

7
ระวัง “นอนกรน” ส่งผลกับชีวิตกับการจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยได้

เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยประสบปัญหาการนอนกรน หรือคนรอบข้างนอนกรนกันมาบ้างไม่มากก็น้อย หลายๆท่านมองว่าการนอนกรนแค่สร้างปัญหารำคาญให้คนรอบข้างในขณะหลับเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว จากการศึกษาวิจัยการนอนกรนอาจจะมีภาวะที่เรียกว่าหยุดหายใจชั่วขณะร่วมด้วยส่งผลให้สมองขาดออกซิเจน และหากว่ามีอาการที่หนักกว่านี้อาจจะส่งผลถึงชีวิตได้

ในวันนี้ทางด้าน Clinic จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับต้นเหตุและความอันตรายของการนอนกรน รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาด้วย EF Line นวัตกรรมสุดทันสมัย ที่ครอบคลุมเรื่องการจัดฟันเด็กเล็ก ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า รวมถึงช่วยแก้ปัญหาอาการนอนกรนของท่านได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 การนอนกรนเกิดจากอะไร ?

อาการนอนกรน เกิดขึ้นในขณะหลับเนื่องจากว่ากล้ามเนื้อคอเกิดการผ่อนคลายและหย่อนตัวลง ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง เมื่ออากาศผ่านจึงเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อคอ เช่น ทอนซิล ลิ้นไก่ เพดานอ่อน เป็นต้น ซึ่งการสั่นดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงดัง ที่เรียกว่า “กรน”

นอกจากการเกิดภาวะการกรนตามธรรมชาติแล้ว ยังเกิดขึ้นจากอาการป่วยที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจด้วย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยโรคอ้วน การมีเนื้องอกหรือถุงน้ำของระบบทางเดินหายใจส่วนบน การนอนกรนก็ถือว่าเป็นสัญญาณของโรคเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ช่วยให้หายนอนกรน

เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะรู้จักกับชุดเครื่องมือทางทันตกรรม EF Line กันมาบ้างแล้ว แต่หลายๆท่านอาจจะทราบเพียงแค่ว่า อุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่ในการช่วยจัดฟันที่ผิดปกติของเด็กเล็กวัยตั้งแต่ 4 ขวบ เพื่อให้กลับมาเป็นปกติและไม่มีปัญหาตามมาอีก รวมถึงปรับโครงสร้างส่วนกระดูกขากรรไกรให้เข้าที่เพื่อช่วยให้ใบหน้าที่ผิดรูปเข้าทรงตามปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า อาการนอนกรน EF Line ก็สามารถช่วยได้ เนื่องจากว่าการนอนกรนส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่มีตำแหน่งลิ้นผิดปกติ รวมถึงขากรรไกรที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง EF Line สามารถปรับส่วนต่างๆเหล่านี้ให้สมดุล เป็นธรรมชาติมากที่สุดโดยที่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะ EF Line จะค่อยๆปรับส่วนต่างๆทีละนิดไม่ใช่การเร่งรีบในการดัดจึงไม่มีอันตรายหากใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมชนิดนี้ แถมยังส่งผลดีต่อโครงสร้างใบหน้าอีกด้วย

 วิธีใช้ EF Line ช่วยแก้ไขอาการนอนกรนทำอย่างไร ?

ในช่วงแรกต้องขอบอกว่าอาจจะไม่เคยชินในการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line อาจจะมีการเคืองบ้างเล็กน้อย แต่ในขณะที่กำลังหลับให้พยายามใส่ให้ติดปาก โดยใส่ขณะที่นอนหลับนั้นจะใช้เวลาในการใส่อยู่ที่ 10 ชั่วโมง เพื่อปรับการวางลิ้นและขากรรไกรให้เข้าที่ ท่านก็จะเลิกอาการนอนกรนได้ในเวลาไม่นาน

 เผย 6 วิธีลดอาการนอนกรน ?

1.    ควบคุมน้ำหนัก

ต้องขอบอกเลยว่าความอ้วนถือว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของการนอนกรน เนื่องจากช่องทางเดินหายใจบริเวณคอถูกบีบให้เล็กลงด้วยชั้นไขมันสะสม รวมถึงไขมันในส่วนของหน้าอกและท้องก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายต้องทำการหายใจหนักขึ้น

2.    ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยให้ช่องเนื้อทางเกินหายใจดึงรั้งและมีความแข็งแรงขึ้น เนื้อเยื่อในลำคอจะไม่หย่อนมากในขณะหลับ

3.    จัดท่านอนให้ดี

พยายามนอนตะแคงงอข้อศอกให้ชิดลำคอ เพื่อเป็นการให้ข้างมือยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปากไปในตัว หรือนอนหนุนหมอนข้างไว้เพื่อไม่ให้เกิดการพลิกตัว ก็จะช่วยให้ท่านหายจากการนอนกรนได้

4.    ยกศีรษะให้สูง

หากว่าการนอนตะแคงไม่สามารถทำได้ให้ลองวิธีการนอนหงาย และใช้หมอนใบเล็กๆสอดไว้ใต้ลำคอด้านบน จะช่วยให้ลิ้นไม่หย่อนลงลำคอ การหายใจจะสะดวกขึ้น สามารถลดอาการนอนกรนได้

5.    ทำที่นอนให้สะอาดอยู่เสมอ

ที่ต้องทำที่นอนให้สะอาดส่วนหนึ่งเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด ซึ่งเกิดจากไรฝุ่น โรคเหล่านี้เป็นต้นเหตุสำคัญของการนอนกรนด้วยเช่นกัน

6.    ทำจมูกให้สะอาดก่อนนอน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดกั้นการหายใจ หรือทำให้หายใจไม่สะดวก คือปัจจัยสำคัญในการนอนกรน ซึ่งในขณะที่กำลังจะนอนให้ทำการทำความสะอาดโพรงจมูกให้สะอาด ก็จะสามารถช่วยไม่ให้นอนกรนได้อีกทางหนึ่ง

 ดังที่กล่าวมานั้นการนอนกรนถือว่าอันตรายกับชีวิตของท่านเอง และสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างอีกด้วย หากว่าใช้ทั้ง 6 วิธีที่กล่าวมาแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใช้อุปกรณ์ EF Line จะสามารถช่วยท่านได้

8
สุขภาพดี: สารทดแทนกระดูกที่ทำจากวัสดุชีวภาพ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์

การสูญเสียหรือความเสียหายของกระดูกสร้างปัญหาใหญ่ต่อร่างกาย การปลูกถ่ายกระดูกจากผู้ป่วยเองหรือผู้อื่นเป็นวิธีดั้งเดิม แต่มีข้อจำกัดด้านปริมาณและความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เทคโนโลยีวัสดุชีวภาพจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัสดุทดแทนกระดูกที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเข้ากันได้กับร่างกาย สารทดแทนกระดูกกำลังปฏิวัติวงการศัลยกรรมกระดูกและข้อเทียม

วัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่เหล่านี้ซึ่งมักได้มาจากแหล่งทางชีวภาพ ได้รับการออกแบบมาเพื่อทดแทน ซ่อมแซม หรือสร้างเนื้อเยื่อกระดูกที่เสียหายขึ้นมาใหม่ บทความนี้จะสำรวจสารทดแทนกระดูกที่ได้จากทางชีวภาพประเภทต่างๆ การใช้งาน และคุณประโยชน์ที่ได้รับในทางการแพทย์

ประเภทของวัสดุทดแทนกระดูกชีวภาพ
เซรามิกส์:
ตัวอย่าง: ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Hydroxyapatite)
คุณสมบัติ: คล้ายโครงสร้างกระดูกจริง แข็งแรง ทนทาน
ข้อดี: เข้ากันได้ดีกับร่างกาย กระตุ้นการงอกของเซลล์กระดูก
ข้อเสีย: เปราะบาง อาจเกิดการแตกหัก

พอลิเมอร์:
ตัวอย่าง: พีอีที (Polyethylene terephthalate)
คุณสมบัติ: ยืดหยุ่น แข็งแรง ผลิตเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ง่าย
ข้อดี: น้ำหนักเบา ง่ายต่อการผ่าตัด
ข้อเสีย: เสื่อมสภาพตามกาลเวลา เสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาต่อร่างกาย

ประเภทของสารทดแทนกระดูกทางชีวภาพ
การปลูกถ่ายอัตโนมัติ:
คำนิยาม: การปลูกถ่ายอัตโนมัติคือการปลูกถ่ายกระดูกที่เก็บเกี่ยวจากร่างกายของผู้ป่วยเอง โดยทั่วไปจะมาจากกระดูกเชิงกรานหรือบริเวณกระดูกอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น
ประโยชน์ที่ได้รับ: สามารถเข้ากันได้ทางชีวภาพและไม่มีความเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธจากระบบภูมิคุ้มกัน โดยทั่วไปการบูรณาการกับกระดูกที่มีอยู่จะดีกว่าเนื่องจากมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพโดยธรรมชาติ

อัลโลกราฟต์:
คำจำกัดความ: Allograft คือการปลูกถ่ายกระดูกที่นำมาจากผู้บริจาคสายพันธุ์เดียวกัน โดยทั่วไปมาจากกระดูกซากศพ
ข้อดี: มีจำหน่ายในปริมาณที่มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกถ่ายอัตโนมัติ และไม่จำเป็นต้องใช้บริเวณผ่าตัดแห่งที่ 2 ซึ่งช่วยลดการบาดเจ็บโดยรวมของผู้ป่วย

ซีโนกราฟต์:
คำจำกัดความ: ซีโนกราฟต์เป็นการปลูกถ่ายกระดูกที่มาจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปคือวัวหรือหมู
ข้อดี: มีวัสดุสำหรับต่อกิ่งให้เลือกมากมาย ความก้าวหน้าล่าสุดได้ลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของโรคและการปฏิเสธภูมิคุ้มกันลงอย่างมากด้วยเทคนิคการประมวลผลที่เข้มงวด

เมทริกซ์กระดูกปราศจากแร่ธาตุ (DBM):
คำจำกัดความ: DBM ถูกสร้างขึ้นโดยการประมวลผลกระดูก allograft เพื่อกำจัดปริมาณแร่ธาตุ เหลือเพียงเมทริกซ์ที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน โปรตีน และปัจจัยการเจริญเติบโต
ประโยชน์ที่ได้รับ: คุณสมบัติในการเหนี่ยวนำกระดูกของ DBM ส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูกใหม่ ทำให้เป็นวัสดุปลูกถ่ายที่มีประสิทธิภาพสูง

แก้วไบโอแอคทีฟ:
คำนิยาม: แม้ว่าจะไม่ใช่สารชีวภาพล้วนๆ แต่แก้วที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพมักถูกรวมเข้ากับวัสดุทางชีวภาพ เป็นวัสดุปลูกถ่ายอวัยวะสังเคราะห์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถในการยึดเกาะกับกระดูกและกระตุ้นการทำงานของเซลล์
ประโยชน์ที่ได้รับ: แก้วไบโอแอคทีฟสนับสนุนการสร้างกระดูกใหม่และสามารถปรับให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะด้านผ่านการปรับองค์ประกอบ
การใช้สารทดแทนกระดูกทางชีวภาพ
ศัลยกรรมกระดูก: สารทดแทนเหล่านี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในขั้นตอนต่างๆ เช่น การเชื่อมกระดูกสันหลัง การซ่อมแซมกระดูกหัก และการสร้างข้อต่อใหม่
ศัลยกรรมทางทันตกรรม: วัสดุทดแทนกระดูกมีบทบาทสำคัญในการปลูกรากฟันเทียมและการผ่าตัดปริทันต์ ซึ่งส่งเสริมการงอกของกระดูกขากรรไกร
ศัลยกรรมใบหน้า: การผ่าตัดตกแต่งสำหรับความบกพร่องของกะโหลกศีรษะ การบาดเจ็บที่ใบหน้า และความผิดปกติแต่กำเนิด มักใช้การปลูกถ่ายกระดูกเพื่อฟื้นฟูทั้งการทำงานและความสวยงาม
การบาดเจ็บและเนื้องอกวิทยา: ในกรณีที่สูญเสียกระดูกอย่างรุนแรงเนื่องจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัดเนื้องอก การใช้กระดูกทดแทนทางชีวภาพนั้นมีคุณค่าอย่างยิ่งในการฟื้นฟูความสมบูรณ์ของโครงกระดูก
ข้อดีของการใช้สารทดแทนกระดูกทางชีวภาพ
ความเข้ากันได้ทางชีวภาพ: วัสดุทางชีวภาพเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์โดยธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของอาการไม่พึงประสงค์
การรักษาขั้นสูง: วัสดุเหล่านี้มักมีคุณสมบัติในการเหนี่ยวนำกระดูกและการนำกระดูก ซึ่งส่งเสริมการรักษาและบูรณาการกระดูกได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเจ็บป่วยลดลง: การใช้อัลโลกราฟต์หรือซีโนกราฟต์ช่วยลดความจำเป็นในการผ่าตัดบริเวณที่สอง ซึ่งช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยของผู้ป่วยและระยะเวลาในการผ่าตัด
การปรับแต่ง: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้สามารถปรับแต่งการปลูกถ่ายกระดูกให้ตรงตามความต้องการทางคลินิกโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จของการผ่าตัดที่ซับซ้อน
ทิศทางในอนาคต
อนาคตของวัสดุทดแทนกระดูกทางชีวภาพดูสดใส โดยการวิจัยที่กำลังดำเนินอยู่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มคุณสมบัติและขยายการใช้งาน นวัตกรรมด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ เช่น การรวมสเต็มเซลล์และปัจจัยการเจริญเติบโต กำลังปูทางไปสู่การพัฒนาสิ่งทดแทนกระดูกยุคใหม่ที่สามารถเลียนแบบกระดูกธรรมชาติได้ใกล้ยิ่งขึ้นกว่าที่เคย

เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การปลูกถ่ายกระดูกมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเข้าถึงผู้ป่วยได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกวัสดุทดแทนกระดูกที่ทำจากวัสดุชีวภาพถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยให้ประโยชน์มากมายในการผ่าตัดต่างๆ ความสามารถในการสนับสนุนการฟื้นฟูและการรักษากระดูกในขณะที่ลดภาวะแทรกซ้อนทำให้เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการวิจัยและเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เราจึงสามารถคาดหวังวิธีแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสำหรับการซ่อมแซมและการสร้างกระดูกใหม่

9
รถแลกเงิน สบายแคช สินเชื่อรีไฟแนนซ์
วงเงินสูงสุดของราคาประเมิน
ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.36% ต่อเดือน
ผ่อนชำระนานสูงสุด 84 เดือน
ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน

รายละเอียดสินเชื่อ

       สถาบันทางการเงิน             บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
    ชื่อสินเชื่อ                       สบายแคช สินเชื่อรีไฟแนนซ์
    ประเภทสินเชื่อ                 สินเชื่อรถแลกเงิน
   วัตถุประสงค์สินเชื่อ            สินเชื่ออเนกประสงค์
   ลักษณะหลักประกัน            สินเชื่อหลักทรัพย์ค้ำประกัน
   รายละเอียดหลักประกัน         รถยนต์ทุกยี่ห้อตามที่บริษัทฯ กำหนด
   ผู้มีสิทธิ์กู้                        ผู้มีรายได้ประจำทุกประเภท

   คุณสมบัติผู้กู้                   
   อายุระหว่าง 20-60 ปี          เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือผู้ครอบครองตามที่ระบุในเล่มทะเบียนรถยนต์เท่านั้น

   วงเงินกู้
   ระยะเวลากู้           84 เดือน
   วิธีการคิดดอกเบี้ย   อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)

   อัตราดอกเบี้ย

ผู้กู้                   จำนวนเงินกู้   ดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต่อปี
ผู้กู้ทุกประเภท   ทุกจำนวน   4.35 %

   รายละเอียดอัตราดอกเบี้ย            ดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้นเพียง 0.36% ต่อเดือน
   หมายเหตุอัตราดอกเบี้ย              อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนเงินกู้ อาชีพและเงินเดือนของผู้กู้
   ดอกเบี้ยผิดนัด                        ค่าธรรมเนียม
   ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้
   ค่าธรรมเนียมเบิกถอน               โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าการทวงหนี้                        โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าอากรแสตมป์                     โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่สำคัญ          การชำระคืน
   ยอดชำระขั้นต่ำ                      โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   สิทธิชำระเกินค่างวด               โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   สิทธิชำระคืนก่อนกำหนด           ไม่มี

   หมายเหตุ
รับรถยนต์ทุกยี่ห้อตามที่บริษัทฯ กำหนด
กรณีไม่มีผู้ค้ำประกันอยู่ภายใต้เงื่อนไขการพิจารณาของบริษัทฯ
เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
กรณีลูกค้าต่อภาษีป้ายทะเบียนแล้ว ต้องนำเอกสารการต่อภาษีตัวจริง และสำเนามาด้วย 1 ชุด

10
เที่ยววัด ไหว้พระ 9 วัด เชียงใหม่ เที่ยวเชียงใหม่ วัดดัง ขอพร

วางแผนมา เที่ยวเชียงใหม่ นอกจากไปสัมผัสอากาศหนาวๆ และธรรมชาติสวยๆ เที่ยวทุ่งดอกไม้แล้ว อย่าลืมแวะไปทำบุญเสริมสิริมงคล ไหว้พระ เชียงใหม่ 9 วัดดัง กันค่ะ ไป ขอพร อิ่มใจ กันในทริปเดียว ได้ทั้งเที่ยวได้ทั้งบุญ ตามนี้เลยค่ะ

ไหว้พระ 9 วัด เชียงใหม่ เสริมดวง ที่เที่ยวเชียงใหม่ วัดสวย


1. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร

      วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร หรือ วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีความสำคัญมาก เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ โดยจะต้องเดินขึ้นบันไดนาคเจ็ดเศียรถึง 306 ขั้น ที่ทอดยาวถึงวัด

       ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐาน เจดีย์พระธาตุดอยสุเทพ เป็นเจดีย์สีทองทรงเชียงแสนซึ่งภายในมีพระบรมสารีริกธาตุ และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม นอกจากนี้บริเวณลานเจดีย์ยังเป็นจุดชมวิวเมืองเชียงใหม่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วยค่ะ


    ที่อยู่ : 9 หมู่ที่ 9 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.
    โทร : -


2. วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร

     วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นวัดสำคัญในประวัติศาสตร์แผ่นดินล้านนา ภายในวัดมีพระพุทธรูปสำคัญคือ พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร ประดิษฐานที่ พระวิหารลายคำ พระวิหารที่สร้างและตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านนาแท้ๆ  ซึ่งมีจิตรกรรมฝาผนังงดงามค่ะ

      อุโบสถตกแต่งแบบศิลปะล้านนา หอไตรประดับด้วยรูปปูนปั้นเทวดา และเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา มี พระมหาเจดีย์ธาตุ หรือ พระธาตุหลวง พระธาตุประจำปีนักษัตรปีมะโรง ที่บรรจุพระเกศาธาตุ  ทำให้ที่นี่ยังเป็น พระธาตุประจำปีเกิดปีมะโรง ตามความเชื่อทางล้านนาอีกด้วย

    ที่อยู่ : 2 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.
    โทร : -

3. วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร

     วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร หรือที่เรียกกันว่า วัดเจดีย์หลวง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ เป็นวัดที่ประดิษฐาน เจดีย์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้าแสนเมือง ที่มีอายุมานับว่า 600 ปี และขยายขนาดให้สูงขึ้นและกว้างขึ้นกว่าเดิมในสมัยพระยาติโลกราช

     ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอดเจดีย์หักโค่นลง ปัจจุบันมีความสูงคงเหลือ 40.8 เมตร ภายในวัดยังมี เสาหลักเมือง หรือ เสาอินทขิล ประดิษฐานอยู่ในวิหาร ซึ่งในวันแรม 12 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปีจะมี ประเพณีบูชาเสาอินทขิล เป็นงานบุญใหญ่อีกด้วย

    ที่อยู่ : 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : 09-7195-4695


4. วัดพระธาตุดอยคำ

     วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดเก่าแก่กว่า 1,300 ปี สร้างขึ้นในสมัย พระนางจามเทวี กษัตริย์แห่งหริภุญชัย เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นที่ประดิษฐาน พระเจ้าทันใจ ซึ่งมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวมากมายทึ่ศรัทธาต่างมากราบไหว้ขอพรเป็นจำนวนมาก

      นอกจากนี้ ยังเป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่อีกแห่งหนึ่ง มีตำนานเรื่อง ปู่แสะ และ ย่าแสะ ยักษ์ผัวเมีย 2 ตนบนดอยคำที่น่าสนใจ และยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่สายตา ก่อนที่จะลงจอดที่สนามบินอีกด้วยค่ะ

    ที่อยู่ : หมู่ 3 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


5. วัดพันเตา

     วัดพันเตา ตั้งอยู่ติดกับ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความงดงาม มีวิหารไม้สักขนาดใหญ่ซึ่งเดิมเป็น หอคำ หรือ คุ้มหลวงของพระเจ้าโหตรประเทศ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาในสมัย พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ทรงศรัทธาและได้รื้อหอคำถวายแก่วัดพันเตาเป็น วิหารหอคำหลวง

      ภายในวิหารประดิษฐาน พระเจ้าปันเตา พระพุทธรูปศิลปะล้านนา ด้านหลังเป็นเจดีย์ทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยม รายล้อมด้วยเหล่าเจดีย์สวยงามเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น

    ที่อยู่ : 127/7 ถนนพระปกเกล้า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.
    โทร : -


6. วัดอุโมงค์

      วัดอุโมงค์ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์คือ อุโมงค์ ซึ่งในสมัยพญากือนาได้สร้างขึ้นเพื่อถวายให้ พระมหาเถรจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกใช้เป็นที่วิปัสสากรรมฐาน ทำให้ที่นี่เป็นโบราสถานเก่าแก่ที่มีความสำคัญ และอยู่คู่เมืองเชียงใหม่มากว่า 700 ปีเลยทีเดียวค่ะ

      ภายในอุโมงค์สามารถเดินทะลุถึงกัน มีช่องสำหรับจุดประทีปให้ความสว่าง สะดวกแก่พระเดินจงกรมและปฏิบัติธรรม ด้านบนอุโมงค์เป็น เจดีย์ทรงระฆังกลม ด้านหลังวัดเป็นสวนพุทธธรรมเงียบสงบร่มรื่นและสระน้ำใหญ่เป็นเขตอภัยทาน นักท่องเที่ยวสามารถไปให้อาหารปลาและดูนกได้

    ที่อยู่ : 135 หมู่ที่ 10 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 09.00-16.00 น.
    โทร : -


7. วัดสวนดอก

      วัดสวนดอก หรือ วัดบุปผาราม สร้างขึ้นในสมัย พญากือนา ค่ะ ซึ่งแต่เดิมเป็นพระราชอุทยานของกษัตริย์ล้านนา ภายในวัดมีสถาปัตกรรมสำคัญคือ พระเจดีย์ใหญ่ทรงลังกา เป็นพระเจดีย์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีความสูง 24 วา สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1914 กู่ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นสถานที่บรรจุอัฐิครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา และอื่นๆ

      นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระเจ้าเก้าตื้อ ซึ่งพญาเมืองแก้วโปรดให้หล่อขึ้น เป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ ศิลปะแบบเชียงแสนฝีมือช่างล้านนาและสุโขทัย มีตำนานเล่ากันว่า มักจะมีผู้มาอธิษฐานขอบุตร และปรารถนาสิ่งต่างๆ มักจะสมปรารถนาทุกประการอีกด้วย

    ที่อยู่ : 139 ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 09.00-21.00 น.


8. วัดเชียงมั่น

      วัดเชียงมั่น คือ วัดที่เก่าแก่ที่สุดในเชียงใหม่ ในเขตกำแพงเมือง เพราะเป็นวัดแรกที่ พญามังราย สร้างขึ้นโดยทรงยก ตำหนักเชียงมั่น ถวายเป็นพระอาราม ทำให้ที่นี่เป็นทั้งศูนย์กลางการศึกษาและเผยแพร่พุทธศาสนาควบคู่กันไปในสมัยก่อนค่ะ

      ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระเสตังคมณี หรือ พระแก้วขาว และ พระศิลาปางทรมานช้างนาฬาคีรี ศิลปะแบบอินเดีย โดยชาวล้านนามีประเพณีไหว้พระเสริมสิริมงคลที่วัดแห่งนี้มาแต่อดีต นอกจากนี้ยังมี เจดีย์ช้างล้อม เจดีย์ประธานศิลปะล้านนาที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1840 เป็นเจดีย์ที่ถอดแบบมาจาก เจดีย์ช้างล้อมของ วัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย อีกทั้งชื่อของวัดยังมีความหมายที่มีความเป็นสิริมงคล สื่อถึงความเจริญและมั่นคงอีกด้วย จึงเหมาะในการมาไหว้พระขอพรกันนั่นเอง

    ที่อยู่ : 171 ถนนราชภาคินัย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.30 น.


9. วัดเจ็ดยอด

      วัดเจ็ดยอด เป็นวัดเก่าแก่ในเชียงใหม่ที่มีเอกลักษณ์คือ เจดีย์เจ็ดยอด ซึ่งมีลักษณะคล้าย มหาวิหารโพธิ ที่ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ทำให้มีความชื่อว่าเป็น วัดประจำปีคนเกิดปีมะเส็ง หรือ ปีงูเล็ก ตามความเชื่อของชาวล้านนา

      ที่ฐานเจดีย์ และด้านนอกประดับปูนปั้นรูปเทวดาที่มีความงดงามมาก ซึ่งถือว่าเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ และมีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเคยจัดประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลกขึ้นที่วัดแห่งนี้นั่นเองค่ะ

      นอกจากนี้ยังมี สถูปเจดีย์พระเจ้าติโลกราช และ สัตตมหาสถาน คือ สถานที่ในพุทธประวัติทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ โพธิบัลลังก์ อนิมิตเจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ อชปาลนิโครธเจดีย์ ราชายตนเจดีย์ ปัจจุบันเหลืออยู่ที่วัดเจ็ดยอดเพียง 3 แห่งคือ อนิมิตเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ และมุจจลินทเจดีย์

    ที่อยู่ : 90 หมู่ที่ ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
    เปิดให้เข้าชม : 06.00-19.00 น.
    โทร : -

11
motor expo BYD เปิดราคา SEALION 7 เริ่ม 1.149 และโชว์ SHARK 6 กระบะไฟฟ้าพวงมาลัยขวา!

BYD ยกทัพรถหรู DENZA เปิดราคา SEALION 7 และนำ SHARK 6 กระบะไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่เตรียมจะบุกไทยเร็ว ๆ นี้ และยังมาพร้อมบุคคลและพาณิชย์จากบีวายดี แถมด้วยข้อเสนอที่ทำให้คนแน่นจนบูธแตก เช่น BYD SEAL เริ่ม 999,900 บาท !!!   

กลุ่มธุรกิจเรเว่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ จัดทัพรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและยานยนต์เชิงพาณิชย์สุดล้ำจากบีวายดี และยนตรกรรมระดับลักชัวรีจากเดนซ่า ร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 เดินหน้าเขย่าวงการส่งท้ายปีกับไฮไลต์สุดพิเศษมากมาย โดยในครั้งนี้ได้นำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่พร้อมราคาขายปลีกแนะนำดังนี้

BYD SEALION 7 รถยนต์ C-SUV Sport พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่น Premium ราคาขายปลีกแนะนำ 1,249,900 บาท และรุ่น AWD Performance ราคาขายปลีกแนะนำ 1,399,900 บาท และพิเศษสุดกับ Early Bird 2024 Motor Expo Campaign! สามารถเป็นเจ้าของ BYD SEALION 7 รุ่น Premium ได้ในราคา 1,149,900 บาท และรุ่น AWD Performance ในราคา 1,249,900 บาท

BYD ATTO 3 ผลิตในประเทศ รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 759,900 บาท และรุ่น Extended ราคาขายปลีกแนะนำ 899,900 บาท

BYD DOLPHIN รุ่น Standard Range ราคาขายปลีกแนะนำ 569,900 และรุ่น Extended Range ราคาขายปลีกแนะนำ 709,900 บาท

BYD SEAL รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 999,900 บาท, รุ่น Premium ราคาขายปลีกแนะนำ 1,099,900 บาท และรุ่น AWD Performance ราคาขายปลีกแนะนำ 1,199, 900 บาท

BYD SEALION 6 DM-i รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 969,900 บาท และรุ่น Premium ราคาขายปลีกแนะนำ 1,069,900 บาท
BYD M6 7 ที่นั่ง รุ่น Dynamic ราคาขายปลีกแนะนำ 799,900 บาท และรุ่น Extended ราคาขายปลีกแนะนำ 899,900 บาท
 
พร้อมทั้งเผยโฉม BYD SHARK 6 กระบะขุมพลัง Plug-in Hybrid อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย ร่วมด้วยการจัดแสดงยานยนต์สมรรถนะเหนือชั้นรวมทั้งสิ้น 27 คัน ใน 3 บูธ ให้ชาวไทยได้สัมผัสความล้ำสมัยของนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน พร้อมทั้งจัดเต็มข้อเสนอและของสมนาคุณสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่จองรถภายในงานระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 เท่านั้น!

 
สัมผัสยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่เพื่อโลกยั่งยืนที่บูธ “บีวายดี”
บูธ “บีวายดี” ภายใต้แนวคิด “Futuristic Green Mobility” โลกแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดเต็มไฮไลต์สุดพิเศษในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 กับการเปิดตัว BYD SEALION 7 และการเผยโฉม BYD SHARK 6 อย่างเป็นทางการ

 
BYD SEALION 7 ที่สุดของประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตรักษ์โลก
BYD SEALION 7 สร้างนิยามใหม่ให้กับรถยนต์กลุ่ม C-SUV ด้วยการผสานดีไซน์สปอร์ตเข้ากับความหรูหราอย่างลงตัว โดดเด่นด้วยรูปทรงแบบ Fastback และฐานล้อต่ำให้ภาพลักษณ์โฉบเฉี่ยว มอบประสบการณ์เหนือชั้นด้วยระบบส่งกำลังอัจฉริยะ 8 in 1 พร้อมเทคโนโลยีการประกอบแบตเตอรี่แบบ Cell-to-Body และระบบห้องโดยสารอัจฉริยะ BYD Intelligent Cockpit

ดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมหาสมุทร
รูปโฉมภายนอกของ BYD SEALION 7 ได้รับแรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำและมวลอากาศ โดยด้านหน้ารถโดดเด่นด้วยดีไซน์ "Ocean X" กับรูปทรงตัว "X" ที่สะท้อนถึงความล้ำสมัยและทรงพลัง ไฟหน้าดีไซน์ "Double U" อันเป็นเอกลักษณ์ เสา A-pillar ที่ลาดเอียงเชื่อมต่อกับหลังคาแบบ Fastback อย่างไร้รอยต่อ พร้อมสปอยเลอร์หลังที่ผสานเข้ากับตัวรถอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกสปอร์ตแบบรถ SUV Coupe ฝากระโปรงท้ายรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูเสริมความดุดัน ไฟท้ายทรงหยดน้ำแบบไดนามิกวางตัวในแนวนอนช่วยเพิ่มมิติความกว้างให้กับตัวรถ พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม และการตกแต่งด้วยโครเมียม เสริมความหรูหราด้วยรายละเอียดไฟ Dot-Matrix ภายในไฟหน้าและไฟท้ายให้ความสะดุดตาเมื่อส่องสว่างบนท้องถนน

หรูหรา สะดวกสบาย ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว
ภายในห้องโดยสารของ BYD SEALION 7 ตกแต่งด้วยวัสดุสัมผัสนุ่มระดับพรีเมียมกว่า 80% ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า คอนโซลกลาง และแผงประตู เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้ Nappa ระบบกันเสียงรบกวนที่เหนือชั้นด้วยกระจกอะคูสติกสองชั้น พร้อมฟิล์ม PVB Resin ในกระจกบังลมหน้า พรมปูพื้นอะคูสติกแบบไร้รอยต่อ วัสดุฉนวนกันเสียงรอบคัน ซุ้มล้อบุวัสดุกันเสียง และฉนวนกันเสียงรอบมอเตอร์ ทั้งยังครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมาย อาทิ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางและที่พักขาปรับไฟฟ้า 2 ทิศทาง พร้อมปรับดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง และ Welcome Seat เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบระบายอากาศ กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าพร้อมระบบไล่ฝ้า กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ระดับ CN95 พร้อมระบบ IONIZER หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD 3 มิติ ขนาด 10.25 นิ้ว หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว ระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) ระบบเครื่องเสียง DYNAUDIO ลำโพง 12 ตำแหน่ง หลังคา Panoramic Glass Roof ช่วยลดความร้อนและกรองแสง UV กระจกบังลมหน้าและกระจกหน้าต่างด้านหน้าแบบเก็บเสียง กระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสาร 128 สี ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและผ่อนคลายภายในห้องโดยสาร

ทรงพลัง แต่ยังคงความนุ่มนวล
BYD SEALION 7 มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมดุลทั้งความแม่นยำและความนุ่มนวลขณะขับขี่ มาพร้อมขุมพลัง Blade Battery ความจุ 82.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 690 นิวตัน-เมตร และระยะทางวิ่งสูงสุด 542กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone และด้านหลังแบบ Multi-link ทำงานร่วมกับระบบกันสะเทือนปรับอัตโนมัติตามความเร็วแบบ FSD (Frequency Selective Damping) ที่ปรับระดับความหนืดของโช้คอัพอัตโนมัติตามสภาพถนน
 

BYD SHARK 6 รถปิคอัพสมรรถนสูง พร้อมอวดโฉมแล้ววันนี้
BYD SHARK 6 ยกระดับรถกระบะแบบ Double Cab 5 ที่นั่งให้พร้อมรับมือทุกความท้าทาย ด้วยการผสานความสะดวกสบายเข้ากับความอเนกประสงค์ที่เหนือชั้น ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวัน การบรรทุกสัมภาระ การลากจูง และการผจญภัยแบบออฟโรด

โครงสร้างแข็งแกร่ง ปลอดภัย ไม่เป็นรอง
โครงสร้างตัวถังของ BYD SHARK 6 ผลิตจากเหล็กความแข็งแก่รงสูงมากถึง 78% มอบความแข็งแกร่งและความทนทานที่เหนือกว่าพร้อมลดน้ำหนักตัวรถ ส่งผลให้มีเสถียรภาพการทรงตัวและการควบคุมรถที่ดียิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ขนาดยาง 265/65 R18 ระบบช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลัง แบบปีกนกคู่ท และดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความอากาศ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและมั่นคง

ห้องโดยสารที่ทั้งอัจฉริยะและสะดวกสบาย
ห้องโดยสารของ BYD SHARK 6 มาพร้อม หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD ขนาด 10.25 นิ้ว หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 15.6 นิ้ว และระบบแสดงผลบนกระจกหน้า (W-HUD) เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบพนักพิงดันหลัง 4 ทิศทาง กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบกันเสียงและกระจกส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย จัดเต็มกับระบบเสียง DYNAUDIO ซึ่งเป็นระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม ลำโพง 12 ตำแหน่ง ให้ประสบการณ์เสียงที่สมบูรณ์แบบ

ขุมพลังเหนือชั้น รองรับการใช้งานได้หลากหลาย
BYD SHARK 6 สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม DM-O ที่ล้ำสมัย มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดอันทรงพลัง เครื่องยนต์ 1.5L ทำงานร่วมกับระบบ EHS และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 in 1 ที่ติดตั้งด้านหลัง ให้กำลังรวมสูงสุด 321 กิโลวัตต์ และแรงบิดรวมสูงสุด 650 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาเพียง 5.7 วินาที และใช้ BYD Blade Battery ความปลอดภัยสูง ความจุแบตเตอรี 29.58 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด 100 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบกระจายแรงบิดแบบเรียลไทม์ มั่นใจได้ถึงการส่งกำลังที่เหมาะสมและการควบคุมที่แม่นยำในทุกสภาพถนน สามารถลากจูงได้สูงสุด 2,500 กิโลกรัม และรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 790 กิโลกรัม ทั้งยังตอบโจทย์สายออฟโรดด้วยศักยภาพการปีนไต่ทางลาดชันได้สูงสุด 60% มุมปะทะ 31 องศา และลุยน้ำได้ลึกสูงสุด 700 มิลลิเมตร
 
DENZA N7
รถครอสโอเวอร์ (Crossover) พลังงานไฟฟ้าดีไซน์ล้ำสมัย โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แบบ Fastback Coupe พัฒนาบน e-Platform 3.0 พร้อมเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ ทั้งระบบแบตเตอรี่แบบ CTB (cell-to-body) และระบบควบคุมแรงบิดอัจฉริยะ iTAC (Intelligence Torque Adaptation Control System) มาพร้อมดีไซน์หรูหรา กระจังหน้าแบบปิด ไฟหน้าดีไซน์แยกส่วน พร้อมไฟ DRL รูปแบบ Diamond Arrow และเซ็นเซอร์ LiDAR บริเวณกันชนหน้า ด้านข้างโดดเด่นด้วยมือจับประตูแบบซ่อนและเส้นโครเมียมรอบกรอบกระจก ยิ่งไปกว่านั้น N7 ยังรองรับเทคโนโลยีการชาร์จเร็วแบบ Dual-gun ที่สามารถชาร์จพร้อมกันสองพอร์ตด้วยเครื่องชาร์จเดียวด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 230 kW เพื่อการชาร์จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแบตเตอรี่มีความจุ 91.392 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางการวิ่งที่ไกลสูงสุดถึง 702 ตามมาตรฐาน CLTC


DENZA Z9 GT
รถแฮทช์แบ็กทรงสปอร์ตระดับพรีเมียมและเป็นเรือธงรุ่นล่าสุดจากแบรนด์เดนซ่า โดดเด่นด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว ดุดัน เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ มีให้เลือกทั้งแบบรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% บนแพลตฟอร์ม Intelligent e3 platform มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ที่ขับเคลื่อนล้อหลังอิสระซ้ายและขวาที่สามารถปรับทิศทางของล้อหลังที่ช่วยให้การบังคับรถได้อิสระมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ  พร้อม Blade Battery 800V แบบปลั๊กอินไฮบริดที่ผสานพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ พร้อมระยะทางวิ่งรวมสูงสุด 1,100 กม. ตามมาตรฐาน CLTC เสริมด้วยระบบช่วงล่างแพลตฟอร์ม DiSus-A ช่วงล่างถุงลมไฟฟ้าอัจฉริยระที่สามารถปรับระดับความนุ่มนวลและความสปอร์ตของช่วงล่างได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบความสบายภายในห้องโดยสารและระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะอีกมากมาย อาทิ เช่น ระบบปรับเบาะให้รองรับสรีระเมื่อเข้าโค้ง ระบบตู้เย็นที่สามารถทำความเย็นจนถึง 0 องศา ภายใน 4.5 นาที AR-HUD หน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียเฉพาะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ฯลฯ
 

DENZA D9
รถตู้อเนกประสงค์ (MPV) ที่มาพร้อมดีไซน์ซึ่งสะท้อนความโมเดิร์นและความหรูหรา เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ มอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์และความมั่นใจให้กับทุกการเดินทาง มาพร้อมกับสมรรถนะอันเป็นเลิศจากมอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลังที่ให้กำลังสูงสุดถึง 275 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจาก BYD Blade Battery ขนาด 103.36 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 580 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC โดยเรเว่ ออโตโมทีฟ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ได้เปิดตัว DENZA D9 อย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งประกาศราคาจำหน่ายแนะนำสำหรับ 2 รุ่นย่อย ได้แก่ DENZA D9 Performance AWD ราคา 2,699,900 บาท และ DENZA D9 Premium ราคา 1,999,900 บาท ซึ่งเป็นราคาพิเศษเฉพาะผู้ที่จองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 และรับรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เท่านั้น
 

BYD Q3B
รถหัวลากพลังงานไฟฟ้า 100% มาพร้อมเทอร์มินอลไฟฟ้าแทรคเตอร์สูงสุด 75,000 กก. GCW MAXให้ระยะทางสูงสุด 200 กม. ต่อหนึ่งรอบการชาร์จ แรงบิดสูงสุด 90 นิวตันเมตร และช่วงล่างกันสะเทือน


BYD eMIXER
รถผสมคอนกรีตไฟฟ้าที่มาพร้อมกับห้องโดยสารซึ่งสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้าและไฮดรอลิก กระจกไฟฟ้าและเบาะคนขับสามารถปรับระดับได้ด้วยระบบไฮดรอลิก โช้คอัพ แผงหลังคาสามารถปรับได้ พวงมาลัยปรับระดับได้ ระบบกันสะเทือนและเหล็กกันโคลง ครบที่สุด สำหรับ BYD eMixer
 

BYD T3
รถตู้ไฟฟ้าสำหรับงานเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ ตอบโจทย์การขนส่งในเมืองด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด คล่องตัว รองรับน้ำหนักของสินค้าได้กว่า 799 กิโลกรัมบนพื้นที่ความจุ 3,800 ลิตร เสริมด้วยแผ่นรองพื้นอลูมิเนียมอัลลอย ที่มีลักษณะพื้นผิวกันลื่น เพื่อความทนทานและความปลอดภัย ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตร มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปราศจากมลพิษและเสียงรบกวน มาพร้อม Blade Battery ความจุ 44.9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าสูงสุด 280 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTC
 
BYD eBUS
รถบัสไฟฟ้า 100% สำหรับการขนส่งสาธารณะ ภายในกว้างขวางรองรับผู้โดยสารได้ถึง 42 คน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 70 กม./ชม. และสามารถขึ้นทางลาดชันได้ถึง 25% มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟตขนาด 348 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทางมากกว่า 250 กม. ที่ความเร็วคงที่ 40 กม./ชม. และรองรับการชาร์จเร็วแบบ DC 100 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จเพียง 3-3.5 ชั่วโมง

สัมผัสนวัตกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 โดยผู้ที่จองรถบีวายดี เดนซ่า และยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ทุกรุ่น พบกับบีวายดีและเดนซ่าได้ที่บูธ A06 และเรเว่ คอมเมอร์เชียล วีฮิเคิลส์ ที่บูธ R03 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2567 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ)

12
ดอกเบี้ยเงินฝาก: บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 6 เดือน (ประเภทสมุดคู่ฝาก)-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI)
ดอกเบี้ย : 1.900 %

จุดเด่น
สำหรับบุคคลธรรมดา
ฝากขั้นต่ำตั้งแต่ 100,000 บาท
รับดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝากหรือรับดอกเบี้ยรายเดือน
ต้องมีหรือเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ทำรายการ
ฝากโดยชื่อบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จะต้องเป็นชื่อเดียวกันกับบัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 6 เดือน และ 10 เดือน

กรณีรับดอกเบี้ยรายเดือน ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยรายเดือนโดยวิธีโอนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของผู้ฝากโดยอัตโนมัติ

กรณีรับดอกเบี้ยรายเดือนจะต้องถอนเงินต้นทั้งจำนวน ห้ามถอนเพียงบางส่วน

ระยะเวลารับฝาก 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2567

รายละเอียดบัญชี
สถาบันการเงิน : ซีไอเอ็มบี ไทย
ชื่อบัญชี : บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ 6 เดือน (ประเภทสมุดคู่ฝาก)
ลักษณะบัญชี : ต้องฝากทุกเดือน
ผู้มีสิทธิฝากและคุณสมบัติ : บุคคลธรรมดา
เปิดบัญชีขั้นต่ำ : 100,000 บาท
ระยะเวลาฝากขั้นต่ำ : 60 วัน
ประเภทอัตราดอกเบี้ย : แบบอัตราคงที่

อัตราดอกเบี้ย
ระยะเวลาฝาก                    ช่วงเงินฝากที่เลือก   บุคคลธรรมดา   นิติบุคคลทั่วไป   นิติบุคคลที่ไม่แสวงหากำไร   ราชการ   รัฐวิสาหกิจ
ระหว่าง  1 เดือน ถึง 30 วัน    ตั้งแต่ 100,000   1.900 %                       -                          -                           -      -

หมายเหตุ : อ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารตามประกาศฉบับล่าสุด ดูได้ที่นี่
ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 64 เป็นต้นไป เงินฝากนี้ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่กำหนด ไว้ในกฎหมายคุ้มครองเงินฝากที่วงเงิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 รายผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน

 
รายละเอียดดอกเบี้ย : 1.90% ต่อปี
เงื่อนไขสำคัญ :
ธนาคารไม่รับฝากสมุดบัญชีเงินฝากทุกกรณี
การทำธุรกรรมข้ามเขต ข้ามผู้ให้บริการ มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
หากมีข้อสงสัยโปรดสอบถามพนักงานธนาคารทันที
 
การจ่ายดอกเบี้ย : รับดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาฝากหรือรับดอกเบี้ยรายเดือน
สิทธิการถอนก่อนกำหนด :
ถอนเงินฝากก่อน 3 เดือน : ธนาคารไม่จ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก
ถอนเงินฝากหลัง 3 เดือนขึ้นไปนับจากวันที่ฝาก แต่ไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาฝาก : ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยที่อัตราเงินฝากออมทรัพย์ ประเภทบุคคลธรรมดาของจำนวนเงินที่ถอน (ทั้งกรณีถอนบางส่วนและถอนทั้งจำนวน) โดยหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ย สำหรับยอดเงินฝากที่คงเหลือของรายการที่ถอนบางส่วนในอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ฝาก

กรณีการถอนเงินฝากก่อนครบกำหนด และรับดอกเบี้ยรายเดือน จะต้องถอนเงินต้นทั้งจำนวนของแต่ละยอดการฝาก ห้ามถอนเพียงบางส่วน หากปรากฎว่าดอกเบี้ยที่ผู้ฝากได้รับไปก่อนแล้ว มีจำนวนเกินกว่าดอกเบี้ยที่ผู้ฝากพึงได้รับตามระยะเวลาที่ฝากไว้จริง ธนาคารจะหักเงินต้นเพื่อชดใช้ดอกเบี้ยส่วนที่จ่ายเกินไปแล้วนั้นออกจากยอดเงิน ฝากก่อนจ่ายคืน ผู้ฝากและธนาคารขอสงวนสิทธิ์จ่ายคืนดอกเบี้ยที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย เนื่องจากส่งกรมสรรพากรไปแล้ว ผู้ฝากจะต้องติดต่อขอคืนภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายด้วยตนเอง

13
เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก สามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้หรือไม่

การทำความสะอาดช่องปากและฟัน สำหรับเด็กนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการที่เด็กดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ตั้งแต่ยังมีน้ำน้ำนมนั้น เป็นเรื่องที่ดี เพราะฟันน้ำนม ส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ นั่นหมายความว่า ถ้าเด็กที่สุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ก็จะทำให้ฟันแท้ขึ้นในตำแหน่งที่เหมาะสมได้ มีรูปร่างฟันที่สวยงาม พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่าน ให้ความสำคัญกับสุขภาพฟันของลูก เพราะคิดว่า การที่ลูกมีฟันที่สวยงาม มีสุขภาพฟันที่ดี ก็จะทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี

ดังนั้น การที่เราได้พาลูกเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกปี เป็นเรื่องที่สมควรทำ เพื่อปลูกฝังให้ลูกได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน และการที่พาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดฟัน ก็เป็นการลดปัญหาที่อาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การทีลูกของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้นั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอนหรือแนะนำวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ถูกวิธีให้กับเด็ก นอกจากการแปรงฟันที่ถูกวิธีแล้ว การทำความสะอาดด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้ไหมขัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ก็เป็นการทำความสะอาดฟันที่มีประสิทธิภาพมากเช่นเดียวกัน เพราะบางครั้งเด็กอาจจะทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึง

ซึ่งไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปาก ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้การทำความสะอาดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ในแง่ของเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะสงสัยว่า ถ้าเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กจะสามารถใช้น้ำยาบ้วนปากได้หรือไม่ และเด็กควรจะใช้น้ำยาบ้วนปากแบบไหน ซึ่งในปัจจุบัน ตามท้องตลาดมีน้ำยาบ้วนปากจำหน่ายด้วยกันหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกน้ำยาบ้วนปาก สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันก็ควรที่จะเลือกให้เหมาะสมด้วย


วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการใช้น้ำยาบ้วนปาก สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ว่าสามารถใช้ได้หรือไม่ และควรที่จะเลือกน้ำยาบ้วนปากแบบใด ให้เหมาะสมกับช่วงอายุและวัยของเด็ก ก่อนอื่นเราจะมาอธิบายการใช้น้ำยาบ้วนปากในเด็กก่อน ซึ่งโดยปกติแล้วน้ำยาบ้วนปาก ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เพราะเด็กอาจจะกลืนเข้าไปและอาจจะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ  เพราะน้ำยาบ้วนปากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงแต่ ส่วนใหญ่แล้วน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กมักจะใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์  โดยอาจให้เด็กใช้ในกรณีที่ลูกฝันผุมากๆ หรือเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ที่อาจจะทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง

สรุปก็คือ เด็กที่เข้ารับการจัดฟันเด็ก สามารถใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อทำความสะอาดฟันในส่วนที่เข้าถึงยาก แต่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะระมัดระวัง ควรอ่านข้อควรระวังและคำแนะนำของน้ำยาบ้วนปากให้ชัดเจน ที่สำคัญควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนที่จะให้เด็กใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อความปลอดภัยทั้งในแง่ของสุขภาพช่องปากและฟัน และสุขภาพร่างกายของเด็กด้วย สำหรับการใช้น้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กนั้น ควรใช้ในเด็กที่มีอายุตั้ง 6 ปีขึ้นไป ที่สามารถบ้วนน้ำทิ้งได้ ควรใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุในอนาคต เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้ ควรใช้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปากก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรเลือกน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสมกับเด็กด้วย


ทั้งนี้ หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากให้ลูกเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กมาพบทันตแพทย์จัดฟันที่คลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านการจัดฟันในเด็ก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกของท่านจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีมาตรฐาน รวมไปถึงมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

14
บริหารจัดการอาคาร: ความสำคัญของระบบสุขาภิบาลมีความจำเป็นและสำคัญของอย่างไรต่อตัวอาคารสถานที่

โดยปกติแล้วในอาคารสูงทั่วๆไป มักจะมีถังเก็บน้ำบนชั้นดาดฟ้า หรือเกือบสูงสุดของอาคาร ทำหน้าที่จ่ายน้ำลงมายังชั้นล่างๆ โดยอาศัยแรงดึงดูดของโลกทำให้น้ำที่ไหลลงมีแรงดันเพิ่มขึ้นตามระดับความสูงของอาคารนั้นๆ ชั้นล่างสุดแรงดันน้ำจะสูงกว่าชั้นบนที่อยู่ติดกับถังเก็บน้ำ ดังนั้น ในกรณีที่ต้องการให้ชั้นบนมีแรงดันน้ำเพิ่มขึ้นจึงต้องอาศัยปั๊มน้ำเข้ามาช่วยเสริมแรงดัน หรือที่เรียกว่าบูสเตอร์ปั๊ม

ส่วนชั้นล่างสุดหากมีแรงดันน้ำที่สูงเกินไป ก็จะต้องน้ำวาล์วลดแรงดันเข้ามาช่วย เพื่อไม่ให้แรงดันน้ำสูงเกินไปจนใช้งานลำบากหรือป้องกันท่อส่งน้ำแตก นอกจากนี้ ระบบน้ำยังต้องมีการจัดการด้วยระบบสุขาภิบาล ซึ่งมีความสำคัญต่อตัวอาคารในแง่การจัดการระบบน้ำภายใน และภายนอกอาคารทุกรูปแบบให้เป็นสัดส่วน

ง่ายต่อการบำรุงรักษา และทำให้ผู้อาศัยสามารถใช้งานได้สะดวก และมีความปลอดภัยไม่เป็นอันตรายช่วยส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัยด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ค่อยทราบข้อมูลนี้เท่าไหร่ หากไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำระบบน้ำภายในอาคาร ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของความสำคัญของระบบสุขาภิบาลว่ามีความจำเป็นและสำคัญของอย่างไรต่อตัวอาคารสถานที่
 
ซึ่งระบบสุขาภิบาลนั้น ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อตัวอาคารในแง่การจัดการระบบน้ำภายใน โดยตามมาตรฐานการออกแบบที่ใช้ในระดับสากล แบ่งออกได้ 7 ระบบ ได้แก่ ระบบน้ำดี หรือน้ำประปา คือ ระบบท่อที่ใช้งานในการลำเลียงน้ำสะอาดไปใช้งานตามจุดต่างๆ ภายในอาคาร เช่น ระบบน้ำประปาสำหรับห้องน้ำ ห้องครัว ห้องซักล้าง หรือ ระบบน้ำดับเพลิงภายในอาคาร ,ระบบระบายน้ำโสโครก คือ ระบบท่อที่นำน้ำเสียที่ถูกใช้งานจากโถส้วม หรือโถปัสสาวะออกจากพื้นที่และนำเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียก่อนระบายออกนอกอาคาร, ระบบระบายน้ำทิ้ง คือ ระบบท่อที่นำน้ำเสียที่ถูกใช้งานจากกิจกรรมอื่นๆ ออกจากพื้นที่ และนำเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียก่อนระบายออกนอกอาคาร, ระบบบำบัดน้ำเสีย คือ ระบบที่ใช้บำบัดน้ำจากการใช้งานภายในอาคาร ให้มีค่าดัชนีวัดค่าคุณสมบัติต่างๆของน้ำ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดก่อนระบายออกสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ ,ระบบท่อระบายอากาศ คือ ระบบท่อที่จะติดตั้งเข้ากับระบบท่อระบายน้ำ

เพื่อป้องกันปัญหาสุญญกาศในเส้นท่อระบายน้ำ ซึ่งจะทำให้ระบบระบายน้ำในเส้นท่อสามารถระบายน้ำได้สะดวก ,ระบบท่อระบายน้ำฝน เป็นระบบท่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำฝนที่เกิดขึ้นกรณีฝนตกออกจากตัวอาคาร และสุดท้ายก็คือ ระบบระบายน้ำภายนอกอาคาร ซึ่งเป็นระบบท่อระบายน้ำบริเวณโดยรอบของอาคาร ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำออกจากบริเวณอาคารเข้าสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ

ดังนั้น การจะนําน้ำมาใช้ทั้งภายในอาคารและภายนอกอาคารนั้น จะต้องคำนึงถึงการจัดวางระบบระบบสุขาภิบาลที่เป็นกิจลักษณะ ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม และหลักสุขอนามัย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีในการใช้งานและสะดวกต่อการบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการพักอาศัยภายในอาคาร รวมไปถึงการบำรุงรักษาระบบต่างๆกHต้องจัดเป็นสัดส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษาเพื่อเวลาเกิดการชำรุดเสียหาย ช่างก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด


อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำภายในอาคาร ทางเราเป็นผู้ให้บริการทางด้านการจัดการระบบน้ำภายในอาคาร เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและติดตั้งระบบปั๊ม ระบบสุขาภิบาล ในสำนักงาน โรงพยาบาล โรงเรียน อาคาร และร้านอาหารต่างๆ เรามีทีมช่างเฉพาะทาง ที่พร้อมจะเข้าไปดูแล ในส่วนของการจัดการระบบน้ำประปา

และระบบสุขาภิบาลของอาคารตาม สำนักงานต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงการวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกันที่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรม เพื่อให้ผลการบริหารจัดการของอาคารที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้ความปลอดภัยให้ กับผู้ใช้อาคารซึ่งเป็นพื้นฐานของวิศวกร และทีมงานของบริษัทยังได้ผ่านฝึกอบรมเพื่อใหความรู้เกี่ยวกับงานบำรุงรักษาโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างเป็นมืออาชีพ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวัน และยังคำนึงถึงสุขอนามัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรก เพื่อให้ลูกค้าของเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

15
หมอออนไลน์: ไฟลามทุ่ง (Erysipelas)

ไฟลามทุ่ง (เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ) เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้น ๆ รวมทั้งท่อน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ และสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มอื่น มักพบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำจากโรค หรือจากยา (เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน) หรือมีภาวะอุดตันของหลอดเลือด หรือท่อน้ำเหลือง หรือเกิดขึ้นในบริเวณที่มีอาการบวมเรื้อรัง หรือมีเนื้อตาย เชื้อจะเข้าทางรอยถลอกหรือรอยแยกของผิวหนัง (เช่น แมลงกัด หนามตำ ผิวหนังมีรอยขีดข่วน หรือฮ่องกงฟุต)

อาการ

มักเกิดขึ้นฉับพลัน แรกเริ่มจะมีไข้สูงหนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาจะมีอาการเป็นผื่นแดงสด ต่อมาจะบวมแข็งตึงและผิวมีลักษณะมันคล้ายผิวส้ม ผื่นจะลุกลามขยายออกโดยรอบอย่างรวดเร็ว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะนูนเป็นขอบแยกจากผิวหนังที่ปกติอย่างชัดเจน และคลำดูจะออกร้อนกว่าผิวหนังปกติ เมื่อกดตรงบริเวณนั้นสีจะจางลง และมีรอยบุ๋มเล็กน้อย ถ้าเป็นมากอาจมีตุ่มน้ำพอง ในระยะท้ายผื่นจะยุบลง ผิวหนังลอกเป็นขุย และเมื่อหายแล้วจะไม่เป็นแผลเป็น

มักเกิดที่บริเวณหน้า อาจเป็นที่แก้มข้างเดียว หรือ 2 ข้าง บางรายอาจเกิดที่แขนหรือขา

ถ้าเป็นบ่อย ๆ อาจทำให้ท่อน้ำเหลืองเกิดการพองตัวอย่างถาวร ถ้าเป็นที่เท้าหรือขา ทำให้ผิวหนังในบริเวณนั้นมีลักษณะขรุขระ

ไฟลามทุ่ง: รอยโรคที่ผิวมีลักษณะคล้ายผิวส้ม


ภาวะแทรกซ้อน

เชื้ออาจลุกลามเข้าเนื้อเยื่อในชั้นที่อยู่ลึกลงไป ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงทำให้เนื้อตาย และอาจลุกลามเข้ากระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวาน กินยาสเตียรอยด์มานาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำจากสาเหตุอื่น

ในรายที่เกิดจากเชื้อบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ อาจทำให้เป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันได้ (มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดง) ซึ่งพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ถ้าจำเป็นแพทย์จะนำหนองจากรอยโรคไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ หรือนำเลือดไปเพาะเชื้อในรายที่มีภาวะโลหิตเป็นพิษ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้ผู้ป่วยพักผ่อน พยายามอย่าเคลื่อนไหวส่วนที่อักเสบ ยกแขนหรือขาส่วนที่อักเสบให้สูง และใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ

ผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้ตามปกติ ไม่มีของแสลง ควรกินอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่) ให้มาก ๆ ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้าปวดหรือมีไข้

2. ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, อีริโทรไมซิน, โคอะม็อกซิคลาฟ) ถ้าดีขึ้นให้ยาต่อจนครบ 10 วัน

3. ถ้าไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงหรือสงสัยมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน หรือพบในผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดระบายหนองหรือตัดเอาเนื้อตายออกไป


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นไฟลามทุ่ง (เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ) ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไฟลามทุ่ง(เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ) ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีไข้สูง หนาวสั่น ซึม เบื่ออาหาร หรือการอักเสบรุนแรงมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

เมื่อมีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยแตกแยกของผิวหนัง (เช่น แมลงกัด หนามตำ ผิวหนังมีรอยขีดข่วน หรือฮ่องกงฟุต)

    ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที เพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกออกไป
    ทารอบแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน
    อย่าให้แผลถูกน้ำ หรือใช้น้ำลาย น้ำหมาก หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ พอกที่แผล
    ควรพักส่วนที่เป็นบาดแผลให้มาก ๆ
    กินอาหารได้ตามปกติ ควรกินอาหารพวกโปรตีน ผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในทะเล และระวังไม่ให้แผลถูกน้ำทะเล
    ถ้าบาดแผลสกปรก แผลถูกสัตว์หรือคนกัด ถูกตะปู หรือถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกพอง หรือพบบาดแผลในผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์ โรคตับเรื้อรัง หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม

ข้อแนะนำ

ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรก หากปล่อยปละละเลยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษเป็นอันตรายได้

16
motor show 2025: แอสตัน มาร์ติน แบงคอก นำเสนอประสบการณ์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Unleash The Iconic Brit Power

แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ผู้นำเข้าและจำหน่ายยนตรกรรม แอสตัน มาร์ติน อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ชวนสัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ นำเสนอตำนานอันยิ่งใหญ่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Unleash The Iconic Brit Power พร้อมสัมผัสหลากหลายยนตรกรรมสปอร์ตสัญชาติอังกฤษ ประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 111 ปี ที่โชว์รูม คริส-คราฟท์ ประเทศไทย ภายในโครงการ ริเวอร์เดล มารีน่า จังหวัดปทุมธานี

 
ธเนศร์ อนุจารีอาภา ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กล่าวว่า “วันนี้ แอสตัน มาร์ติน ได้มีการปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ Unleash The Iconic Brit Power โดยเน้นไปที่ดีไซน์อันงดงามของดีไซน์ เทคโนโลยีล้ำสมัย และความประณีตในทุกรายละเอียด ควบคู่กับสมรรถนะที่พัฒนาจากเทคโนโลยีของรถแข่งฟอร์มูลาวัน”
 
Aston Martin ยนตรกรรมสปอร์ตหรูสัญชาติอังกฤษ ที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก
แอสตัน มาร์ติน เป็นยนตรกรรมสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งช่วงปี 2456 ก่อตั้งโดย ไลโอเนล มาร์ติน กับ โรเบิร์ต แบมฟอร์ต ปีนี้ นับว่าครบรอบ 111 ปี ซึ่งทั้งคู่สร้างรถแข่งร่วมกัน เพื่อไปแข่งรายการ แอสตัน คลินตัน ฮิลล์ไคล์ม (Aston Clinton Hillclimb) และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเกย์ดอน ประเทศอังกฤษ
 
จุดเด่น คือ ปรัชญาการออกแบบ ‘Golden Ratio’ ที่แตกต่างและไม่ซ้ำใคร ผสานความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมอันเหนือชั้น ก้าวข้ามขีดความจำกัดของนวัตกรรมและความหรูหรา ผ่านการรังสรรค์โดยทีมดีไซน์เนอร์ระดับโลก ผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลอันทันสมัย เข้ากับมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมการออกแบบดั้งเดิม ส่งผลให้เป็นยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยความงดงาม ที่มาพร้อมประสิทธิภาพเชิงอากาศพลศาสตร์เหนือระดับ
 
ปัจจุบัน แอสตัน มาร์ติน ยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ที่จะเป็นแบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูงระดับหรูของอังกฤษที่น่าครอบครองที่สุดในโลก ด้วยการผสมผสานดีไซน์เปี่ยมเสน่ห์ เข้ากับความเป็นเลิศเชิงวิศวกรรม และงานฝีมือสุดประณีต
 
ยนตรกรรม แอสตัน มาร์ติน ทุกรุ่น ทุกคัน เปรียบเสมือนผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ และวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของแบรนด์ พร้อมเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดยนตรกรรมลักชัวรี่สปอร์ตของโลก
 

สัมผัสแก่นแท้แห่งความเป็น Iconic British Luxury
ภายในงานมีการจัดแสดงยนตรกรรม แอสตัน มาร์ติน หลากรุ่น อาทิ ดีบีเอ็กซ์707 (DBX707) หนึ่งในเอสยูวีที่แรงที่สุดในโลก, ดีบี12 คูเป้ (DB12 Coupe) ที่สุดแห่งยนตรกรรมซูเปอร์ทัวเรอร์ที่สามารถขับได้ทุกวัน, ดีบี12 โวลานเต้ (DB12 Volante) เวอร์ชั่นเปิดหลังคาท้าสายลม ที่ยกระดับความเร้าใจทุกมิติ รวมถึง แวนเทจ เอฟวัน อิดิชั่น (Vantage F1 Editon) ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษของยนตรกรรมสปอร์ตพันธุ์แท้ ได้แรงบันดาลใจจากเซฟตี้คาร์ที่ใช้ในการแข่งฟอร์มูลาวัน ผลิตจำกัดและทรงคุณค่า เพื่อนักสะสมโดยเฉพาะ
 
Aston Martin ‘TIMELESS’ รถมือสองสภาพดี การันตีคุณภาพจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
แอสตัน มาร์ติน ‘TIMELESS’ คือ ยนตรกรรมมือสองสภาพดี ที่ผ่านการคัดสรรและการันตีคุณภาพ โดยผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา ประเทศอังกฤษ และเพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า ก็มีโปรแกรมเพิ่มระยะรับประกัน (Extended Warranty) ที่สามารถซื้อเพิ่มได้สูงสุดนาน 10 ปี
 
แอสตัน มาร์ติน ยังคงมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมลักชัวรี่สปอร์ต ที่ได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วโลก ให้เป็นไอคอนที่เติมเต็มความเร้าใจให้ทุกการขับ ตามแบบฉบับของยนตรกรรมอังกฤษพันธุ์แท้         

17
เป็นโรคหัวใจ...สิ่งไหนบ้างไม่ควรกิน?

ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ การเอาใจใส่ในเรื่องของอาหารการกินนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสารอาหารที่ร่างกายได้รับนั้นล้วนมาจากการบริโภคอาหารของเราทั้งสิ้น หากได้รับสารอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก็อาจส่งผลให้มีสภาพร่างกายแย่ลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้


อาหารประเภทไหน...ที่ผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรกิน!

    อาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง : เนื้อสัตว์แดงที่มีมันเยอะ ไข่แดง เครื่องในสัตว์ อาหารฟาสต์ฟู้ด เนย หรือผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูง รวมถึงอาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปลาหมึก หรือหอยนางรม เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีคอเลสเตอรอลสูง
    อาหารแปรรูปที่มีไขมันสูง : เบคอน ไส้กรอก แฮม กุนเชียง และหมูยอ
    อาหารที่มีรสชาติเค็มจัด : อาหารประเภทหมักดอง เช่น ปลาเค็ม ผักดอง กุ้งแห้ง ไข่เค็ม หรือกะปิ เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีส่วนผสมของโซเดียมและผงชูรสสูง
    อาหารที่มีรสชาติหวานจัด : เค้ก คุกกี้
    อาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันเยอะ : ของทอด หรืออาหารที่มีความมันจัด
    เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน : เครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เนื่องจากคาเฟอีนมีผลให้ร่างกายตื่นตัว และมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นได้
    เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด

อาหารเหล่านี้ หากมีความจำเป็นต้องทานควรทานอย่างพอเหมาะ และอยู่ในการควบคุมการบริโภคอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันตัวเองจากโรคหัวใจ


วิตามิน...ตัวช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจ

อีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ หรือเป็นการเสริมสร้างหัวใจให้แข็งแรงได้ คือ อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง “วิตามิน” ซึ่งประกอบไปด้วยวิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินซี เนื่องจากวิตามินเหล่านี้มีส่วนช่วยในการบำรุงหัวใจ ให้หัวใจทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพ โดยวิตามินแต่ละชนิดจะได้รับจากแหล่งใดบ้าง ดังนี้...

วิตามินเอ (Vitamin A) : แครอท ฟักทอง ผักโขม และมันเทศ หรือผักและผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง และสีเขียวเข้ม

วิตามินอี (Vitamin E) : เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ ถั่วลิสง ผักใบเขียว และน้ำมันบางชนิด เช่น น้ำมันพืช หรือน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น

วิตามินซี  (Vitamin C) : ส้ม มะนาว กีวี สตรอว์เบอร์รี พริกหยวก ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และผักใบเขียว

อย่างไรก็ตาม วิตามินเหล่านี้ควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น หากได้รับมากเกินไปมักจะไม่จำเป็นต่อร่างกายและอาจส่งผลเสียแทนได้

 
นอกจากการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่อันตรายต่อผู้ป่วยโรคหัวใจข้างต้นแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง รวมถึงการตรวจคัดกรองสุขภาพ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอันตราย ไม่ใช่แค่ต่อหัวใจ แต่ต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วย

18
บ้านโครงการใหม่ 2024: อณาสิริ ชัยพฤกษ์ - วงแหวน 2 (Anasiri Chaiyapruek - Wongwaen 2)
เริ่มต้น 4.59 ลบ. - 6 ลบ.

อณาสิริ ชัยพฤกษ์ - วงแหวน 2 (Anasiri Chaiyapruek - Wongwaen 2)
ชีวิตเรียบง่าย ด้วยดีไซน์ที่ลงตัว อณาสิริ ชัยพฤกษ์ - วงแหวน 2 "บ้าน" ที่ออกแบบเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข บน "ความพอดี" มีดีไซน์ที่โดดเด่นและเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ พักผ่อนไปกับธรรมชาติอันร่มรื่น บนทำเลศักยภาพใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกและรวดเร็ว

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           อณาสิริ ชัยพฤกษ์ - วงแหวน 2 (Anasiri Chaiyapruek - Wongwaen 2)
 เจ้าของโครงการ      แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย           อณาสิริ
 ราคา                   เริ่มต้น 4.59 ลบ. - 6 ลบ.

 ประเภทบ้าน          บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด
 ลักษณะทำเล         บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ        58 ไร่ 1 งาน 86 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน           284 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     4 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            ตั้งแต่ 36.2 ถึง 95.6 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 145 ถึง 161 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            2 ชั้น
 หน้ากว้าง            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน     ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ      2 คัน
 สาธารณูปโภค       สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ (สระว่ายน้ำขนาด Half-Olympic, สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก), ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (Sansiri Backyard), สนามเด็กเล่น, Co-working space

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง       ถนนบางกรวย - ไทรน้อย ตำบลบางบัวทอง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 11110

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(คลองบางไผ่)
ใกล้ทางด่วน (ทางหลวง 345)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนบางกรวย-ไทรน้อย, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนชัยพฤกษ์, ถนนแจ้งวัฒนะ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ไลฟ์สไตล์
1. โลตัส บางกรวย - ไทรน้อย 6 กม.
2. แม็คโคร สาขาบางบัวทอง 6.1 กม.
3. โฮมโปรสาขาชัยพฤกษ์ 11.8 กม.
4. โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ 12.7 กม.
5. เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต 14.9 กม.


สถานศึกษา
1. โรงเรียนสารสาสน์วิเทศไทรน้อยพิทยาคาร 4 กม.
2. โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปีเตอร์ 9.4 กม.
3. โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบัวทอง 11 กม.
4. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี 14 กม.
5. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี 19.2 กม.

 
โรงพยาบาล
1. โรงพยาบาลบางบัวทอง 8.7 กม.
2. โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ 14.5 กม.
3. โรงพยาบาลบางใหญ่ 14.9 กม.
4. โรงพยาบาลปากเกร็ด 17.7 กม.

19
จัดฟันบางนา: อายุมีผลต่อการเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือไม่

สุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเราจะต้องใช้งานฟันของเราเพื่อรับประทานอาหารหรือใช้ชีวิตประจำวันไปจนแก่จนเฒ่า ดังนั้น การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเรา เราจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เราจะต้องเข้ารับการตรวจช่องปากและฟันเป็นประจำทุกๆ 6  เดือน เพื่อที่จะได้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาเพื่อที่จะได้รับการแก้ไขอย่างทันเวลา เมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้น สุขภาพช่องปากและฟันของเราก็จะเริ่มเสื่อมถอยลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามอายุ เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ การเสื่อมถอยลงตามวัย ของร่างกายไม่ใช่โรค หากแต่เป็นสัญญาณเตือน ให้ผู้สูงอายุซึ่งมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น จากการทำงานประจำ ได้หันมาให้ความสนใจ ดูแลเอาใจใส่ สุขภาพร่างกายของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งสุขภาพปากและฟัน ก็ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย เนื่องจากเป็นอวัยวะที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการทะนุบำรุง ซ่อมแซมร่างกาย เพื่อที่จะได้มีสุขภาพร่างกาย แข็งแรง สำหรับคนที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น หลายคนก็ยังใส่ใจในเรื่องของความสวยความงามอยู่ ดังนั้น การจัดฟันถือว่า เป็นการช่วยทำให้เรามีฟันที่สวยงามและยังช่วยทำให้มีรอยยิ้มที่มั่นใจด้วย สำหรับการจัดฟันที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันนี้ แน่นอนว่า จะเป็นการจัดฟันแบบใส เพราะเนื่องจากการจัดฟันแบบใส สามารถตอบโจทย์ไลพ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันได้รับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม


หลายคนสงสัยว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น เมื่อเรามีอายุมากขึ้น จะสามารถเข้ารับการจัดฟันได้หรือไม่ แน่นอนว่า อาจจะมีความกังวลอยู่บ้าง สำหรับคนที่สนใจ แต่เราต้องบอกว่า การเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของอายุ ดังนั้น ไม่ว่าผู้เข้ารับการจัดฟันจะมีอายุเท่าไหร่ ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้ เพราะการจัดฟันแบบใส สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีไม่ขึ้นอยู่กับอายุเลย


นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน ได้รับประทานอาหารอย่างเต็มที่ และสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่มีอุปสรรคในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันเลย แถมเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังสามารถถอดออกได้อีกด้วย และเครื่องมือก็มีความกระชับ พอดีกับช่องปากของผู้เข้ารับการจัดฟัน เพราะทันตแพทย์จะมีการออกแบบเครื่องมือการจัดฟันเฉพาะบุคคล จึงทำให้สวมใส่เครื่องมือ สบาย ไม่มีปัญหาในเรื่องของการพูดหรือการออกเสียง สำหรับในเรื่องของระยะเวลาในการจัดฟันแบบใสนั้น


ระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหาของแต่ละบุคคล ไม่แตกต่างจากการจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น ยิ่งคนที่มีปัญหาในเรื่องของฟันที่ค่อนข้างซับซ้อนหรือแก้ไขได้ยาก ระยะเวลาการจัดฟันก็จะนานขึ้น กว่าคนที่มีปัญหาในเรื่องของฟันน้อยกว่า นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันด้วย เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส จะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 22 ชั่วโมง ดังนั้น ในเรื่องระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน ยังส่งผลต่อการรักษาด้วย เพราะหากเราละเลยในการสวมใส่เครื่องมือ ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาคลาดเคลื่อนได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ ภายหลังจากได้รับเครื่องมือการจัดฟันเรียบร้อยแล้ว หรืออยู่ในช่วงของการจัดฟัน เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้ทราบถึงผลการรักษาและคอยปรับเปลี่ยนเครื่องมือการจัดฟันในชุดต่อไปได้

หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันแบบใส และมีประสบการณ์การอย่างยาวนานในด้านทันตกรรม พร้อมทั้งยังได้การรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการทางด้านการจัดฟันแบบใสได้ตามมาตรฐานสากล และยังมีความน่าเชื่อถือ จึงมั่นใจได้ว่า ผู้เข้ารับการจัดฟันจากทางคลินิกของเราจะมีความปลอดภัยและผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น

20
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: กล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis)

กล่องเสียง (larynx) เป็นส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากคอหอย (pharynx) และอยู่ตรงส่วนบนของท่อลม (trachea)

การอักเสบของกล่องเสียงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

ภาพตัดขวางของปากและกล่องเสียง

สาเหตุ

การอักเสบของกล่องเสียงมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมากจะเกิดร่วมกับไข้หวัด เจ็บคอ หรือหลอดลมอักเสบ ส่วนน้อยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

บางครั้งอาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้เสียงมาก (เช่น ร้องเพลง สอนหนังสือ เป็นต้น) หรือเกิดจากการระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน

อาการ

ที่สำคัญ คือเสียงแหบแห้ง บางรายอาจเป็นมากจนไม่มีเสียง อาจรู้สึกเจ็บคอเวลาพูด

บางรายอาจมีอาการไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอร่วมด้วย

โดยทั่วไป มักเป็นอยู่ไม่เกิน 7 วัน ถ้าเกิดจากการระคายเคืองมักมีอาการเสียงแหบเรื้อรัง

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากมักหายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อที่พบร่วม อาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาจตรวจพบมีไข้ น้ำมูกไหล หรือคอแดงร่วมด้วย

บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากการระคายเคือง

ในรายที่มีอาการเรื้อรัง หรือสงสัยมีความผิดปกติของกล่องเสียงหรือโรคกรดไหลย้อน แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy)

การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ

2. เฉพาะในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีเสมหะเหลืองหรือเขียว หรือคอแดงจัด ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคอะม็อกซิคลาฟ อีริโทรไมซิน หรือร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น)

3. ถ้ามีอาการหอบ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจมีสาเหตุจากคอตีบ หรือครู้ป

4. ถ้าเสียงแหบเป็นอยู่นานกว่า 3 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์

ถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ก็มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบแทรกซ้อน

การดูแลตนเอง

ในรายที่มีเสียงแหบ โดยที่สุขภาพทั่วไปดี กินอาหารและทำงานได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักการใช้เสียง ควรหยุดพูดรวมทั้งการกระซิบ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)
    สูดดมไอน้ำอุ่นบ่อย ๆ
    ถ้ามีไข้ กินยาลดไข้-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวทุกครั้งนานเกิน 24 ชั่วโมง
    มีอาการเจ็บคอมาก หรือหายใจลำบาก
    คลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    มีอาการเสียงแหบนานเกิน 3 สัปดาห์
    ดูแลตนเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
    มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก
    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

 *เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เสียงแหบ อาทิ

    พักการใช้เสียง ในรายที่เกิดจากการใช้เสียงมาก
    งดบุหรี่/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าเป็นสาเหตุของอาการเสียงแหบ
    ในรายที่เกิดจากไข้หวัด ก็หาทางป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
    ในรายที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน ควรดูแลรักษาโรคนี้ไม่ให้กำเริบบ่อย (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)

ข้อแนะนำ

1. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. อาการเสียงแหบมักพบในผู้ที่เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่ใช้เสียงมาก (เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น) โดยมากจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน เมื่อได้รับการดูรักษาแล้ว เสียงควรจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

แต่ถ้าพบว่ามีอาการเสียงแหบติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น

    ปุ่มเนื้อของสายเสียง (vocal cord nodules) เป็นปุ่มเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เติบโตจากเซลล์เยื่อบุผิว (epithelium) ของสายเสียง มีสาเหตุมาจากการใช้เสียงมากเกิน เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น การพักใช้เสียงเป็นเวลาหลายสัปดาห์อาจทำให้ปุ่มยุบหายไปได้เอง ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องตัดออก ผู้ที่เป็นโรคนี้แพทย์จะฝึกการใช้เสียง (voice therapy) ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เป็นซ้ำอีก
    ติ่งเนื้อเมือกของสายเสียง (vocal cord polyps) เป็นเนื้องอกของเซลล์เยื่อเมือก (mucous membranes) ของสายเสียง เกิดจากภาวะภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองเรื้อรัง (เช่น สูบบุหรี่) มักต้องรักษาด้วยการผ่าตัดติ่งเนื้อออกไป
    หูดกล่องเสียง (laryngeal papillomatosis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า human papillomavirus (HPV) ทำให้เกิดเนื้องอก (หูด) ตรงสายเสียงและกล่องเสียง ทำให้มีเสียงแหบเรื้อรัง ถ้าก้อนโตอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และจะหายได้เองเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว มักจะต้องรักษาด้วยการตัดออก
    โรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเจ็บคอเสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง มักเป็นมากหลังตื่นนอน (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)
    แผลสายเสียง (contact ulcer of vocal cord) พบในผู้ที่ใช้เสียงมากเกิน สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเสียงแหบ เจ็บเวลาพูดหรือกลืน ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้เสียง ต้องพักการใช้เสียงนาน 6 สัปดาห์ และฝึกการใช้เสียงให้ถูกต้อง ถ้าเกิดจากโรคกรดไหลย้อนก็ต้องให้ยาลดการสร้างกรด เป็นต้น
    มะเร็งกล่องเสียง พบมากในผู้ชายสูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน
    สายเสียงเป็นอัมพาต (vocal cord paralysis) อาจเกิดจากโรคทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง อัมพาต) หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โดยตัดถูกเส้นประสาท (laryngeal nerve) ที่ควบคุมการทำงานของสายเสียง ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการเสียงแหบอย่างถาวร
    วัณโรคกล่องเสียง (tuberculous laryngitis) ทำให้มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง อาจมีอาการของวัณโรค (เช่น ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้

21
doctor at home: กระจกตาย้วย (Keratoconus)

Keratoconus (กระจกตาย้วย) เป็นภาวะผิดปกติของโครงสร้างกระจกตา ซึ่งกระจกตาจะมีความโค้งนูนขึ้นมาจนผิดรูปไปจากเดิมและบางผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพเบลอ บิดเบี้ยว ดวงตาไวต่อแสง และอาจต้องเปลี่ยนแว่นสายตาอยู่บ่อย ๆ

Keratoconus มักเริ่มพบในผู้ที่มีอายุประมาณ 10–25 ปี โดยลักษณะของอาการจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้น ซึ่งมักเกิดขึ้นกับดวงตาทั้งสองข้าง แต่ดวงตาข้างหนึ่งมักจะมีอาการมากกว่าอีกข้าง และอาการมักจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้น


อาการของ Keratoconus

ผู้ที่มีภาวะ Keratoconus แต่ละคนจะพบอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง บางคนอาจพบว่าดวงตาทั้งสองข้างมีอาการไม่เหมือนกัน ซึ่งอาการของภาวะ Keratoconus มักจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้น จนแย่ลงภายในระยะเวลาประมาณ 10–20 ปี โดยอาการแรกเริ่มที่อาจพบได้ เช่น

    มองไม่ชัดหรือภาพที่มองเห็นมีลักษณะบิดเบี้ยว
    ดวงตาไวต่อแสง โดยเฉพาะในตอนกลางคืน
    ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย
    สายตาแย่ลงอย่างฉับพลัน
    ตาแดง และบวม
    มองเห็นแสงฟุ้ง ๆ หรือเห็นแสงเป็นวงรอบเมื่อมองดวงไฟ
    ปวดศีรษะร่วมกับปวดตา
    รู้สึกระคายเคืองขณะใส่คอนแทคเลนส์ หรือรู้สึกว่าคอนแทคเลนส์ไม่พอดีกับดวงตา

ภาวะ Keratoconus เป็นภาวะที่อาจส่งผลให้กระจกตาเกิดรอยแผล ซึ่งจะกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้ ดังนั้น หากเริ่มพบว่าค่าสายตาแย่ลงอย่างรวดเร็วหรือพบอาการในลักษณะข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ


สาเหตุของ Keratoconus

กระจกตาเป็นอวัยวะส่วนที่อยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา โดยมีคอลลาเจนที่ช่วยให้กระจกตาคงรูปร่างและน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก คาดการณ์ว่าเมื่อกระจกตาขาดสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่จะช่วยป้องกันคอลลาเจนและช่วยกำจัดสารที่เป็นอันตราย กระจกตาจะเริ่มโค้งนูนหรือเกิดภาวะ Keratoconus

ในปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดที่ส่งผลให้เกิดกลไกข้างต้น แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น

    อายุ โดยช่วงอายุประมาณ 10–25 ปี เป็นช่วงที่เริ่มพบการเกิดภาวะ Keratoconus ได้บ่อย
    การอักเสบบริเวณดวงตา หรือภูมิแพ้ขึ้นตา (Allergic Conjunctivitis)
    พฤติกรรมการขยี้ตาอย่างรุนแรงเป็นระยะเวลานาน
    โรคหรือภาวะผิดปกติบางชนิด เช่น โรคเรติไนติส พิกเมนโตซา (Retinitis Pigmentosa) ดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome) มาร์แฟนซินโดรม (Marfan Syndrome) โรคหนังยืดผิดปกติ (Ehlers-Danlos Syndrome) และโรคหืด (Asthma)

การวินิจฉัย Keratoconus

สำหรับการวินิจฉัย Keratoconus จักษุแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติทางด้านสุขภาพของผู้ป่วย ประวัติการเกิด Keratoconus ของคนในครอบครัว ร่วมกับการตรวจดวงตาและความโค้งนูนของกระจกตาของผู้ป่วย โดยวิธีที่จักษุแพทย์อาจพิจารณาใช้ เช่น

    การถ่ายภาพกระจกตาของผู้ป่วย (Computerized Corneal Mapping) เพื่อนำไปตรวจกระจกตาโดยละเอียด
    การใช้เครื่อง Slit-lamp หรือกล้องจุลทรรศน์สำหรับตรวจดวงตา เพื่อตรวจสอบรูปร่างและความผิดปกติต่าง ๆ บริเวณกระจกตา
    การใช้เครื่องวัดกำลังสายตา (Phoropter) หรืออุปกรณ์ตรวจตาเรติโนสโคป (Retinoscope) เพื่อวัดการหักเหแสงของดวงตาและตรวจดูจอประสาทตาของผู้ป่วย
    การตรวจวัดความโค้งของกระจกตา โดยแพทย์จะใช้เครื่องเคอราโตมิเตอร์ (Keratometer) ส่องไฟไปที่กระจกตา


การรักษา Keratoconus

แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษา Keratoconus แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความเหมาะสมต่อผู้ป่วยแต่ละคน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจเพียงแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นสายตาหรือใส่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งเท่านั้น

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน โดยวิธีการรักษาที่แพทย์อาจใช้ เช่น

    วิธี Collagen Cross Linking โดยแพทย์จะหยดสารวิตามินบีลงบนดวงตาของผู้ป่วย และใช้แสงยูวีชนิดพิเศษกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนบริเวณกระจกตาของผู้ป่วยเพื่อช่วยให้กระจกตาของผู้ป่วยยุบลงและแข็งแรงขึ้น จากนั้นภายหลังการรักษาแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นสายตาหรือใส่คอนแทคเลนส์เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่สามารถช่วยให้กระจกตาของผู้ป่วยหายขาดหรือกลับสู่สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์ แต่จะช่วยป้องกันไม่ให้การมองเห็นแย่ลง และอาจช่วยให้การมองภาพดีขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย
    การผ่าตัดนำอุปกรณ์ใส่ไว้ในกระจกตา เพื่อช่วยให้กระจกตาของผู้ป่วยยุบลง และช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นได้ดีขึ้น
    สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จะใช้วิธีการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์จะนำกระจกตาของผู้บริจาคมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย

นอกจากการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ในข้างต้น แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการขยี้ตาอย่างรุนแรง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายบริเวณกระจกตา ซึ่งจะส่งผลให้อาการต่าง ๆ แย่ลง


ภาวะแทรกซ้อนของ Keratoconus

ในบางครั้งผู้ป่วย Keratoconus อาจเกิดการปริแตกเล็ก ๆ ของผิวกระจกตา ทำให้เกิดภาวะกระจกตาบวม มองไม่ชัดและเกิดเป็นรอยแผล แม้โดยส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายเองได้ แต่ในกรณีที่รอยแผลเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ผิวกระจกตาของผู้ป่วยอาจกลายเป็นแผลเป็นได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของผู้ป่วยได้ในระยะยาว


การป้องกัน Keratoconus

เนื่องจากทางการแพทย์ในปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะ Keratoconus การป้องกันจึงอาจทำได้ยาก แต่ในเบื้องต้นอาจลดความเสี่ยงได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการขยี้ตาอย่างรุนแรง หรือหากป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ อาจไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยบรรเทาหรือลดความเสี่ยงในการเกิดอาการคันตาและขยี้ตา

นอกจากนี้ ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในช่วงอายุ 10 ปีขึ้นไป อาจพาบุตรหลานไปตรวจดวงตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้จักษุแพทย์ตรวจสุขภาพดวงตาและความผิดปกติต่าง ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ

22
การจัดฟันเด็ก ในช่วงที่ฟันกำลังพัฒนามีข้อดีอย่างไร
 
การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมในเด็กที่ได้รับความนิยมากในปัจจุบัน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะมองเล็งเห็นถึงปัญหาที่เกี่ยวกับช่องปากและฟันที่อาจจะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้อนาคต ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 6-7 ขวบ พ่อแม่ผู้ปกครองควรนำเด็กๆ อายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่นเพราะเป็นช่วงที่ฟันกำลังพัฒนาและขากรรไกรเติบโต และถ้าตรวจพบปัญหาฟันซ้อน การสบฟันผิดปกติ จะสามารถแก้ไขได้ง่ายมากกว่าการจัดฟันตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ซึ่งส่วนใหญ่ทันตแพทย์จัดฟันจะแนะนำให้เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟัน เข้ารับการจัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะการที่เด็กในวัยที่กำลังมีการเจริญเติบโตของฟัน สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าตอนโตแล้ว ซึ่งหากอายุมากขึ้น การแก้ไขปัญหาฟันก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นนั่นเอง ในการจัดฟันในเด็กนั้น ยังเป็นการสร้างทันตคติเกี่ยวกับการดูแลช่องปากและฟันของเด็กได้อย่างดีอีกด้วย เพราะมองว่า เมื่อเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว จะต้องดุแลเอาใจใส่และต้องดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันมากกว่าคนปกติ

ดังนั้นการจัดฟันในเด็ก จึงมีประโยชน์ต่อตัวเด็กในหลายๆด้าน ซึ่งการเข้ารับการจัดฟัน ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้ และยังเป็นการป้องกันและรักษาความผิดปกติของฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมและมีการบดเคี้ยวที่ดีขึ้นได้ โดยการใช้เครื่องมือจัดฟันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและการสบฟันที่ผิดปกติ ไม่สวยงาม และไม่เป็นระเบียบ ให้มีโครงสร้างและรูปร่างใบหน้าที่ดีและสวยงามขึ้น ซึ่งเครื่องมือจัดฟันที่ใช้จะช่วยเคลื่อนฟันไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์ของสุขภาพช่องปากและฟัน
 
สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กในช่วงที่ฟันกำลังพัฒนามีข้อดีอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลและแนวทางให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ตระหนักและตัดสินใจที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟันนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาและวัยที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงอายุประมาณ 10-14 ปี เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้ามากที่สุด

ทำให้ฟันสามารถเคลื่อนที่ได้ง่ายเป็นประโยชน์ต่อการจัดฟัน แต่หากอายุมากแล้วหรือประมาณ 30 ปีขึ้นไป อาจต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันที่นานกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรรักษาสุขภาพช่องปากให้ดีและปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับการรักษา นอกจากนี้ การที่พาเด็กเข้ารับการจัดฟันก่อนอายุ 13 ปีนั้น นอกจากจะทำให้ฟันเข้ารูปเรียงตัวกันสวยงามตามธรรมชาติได้ง่ายกว่าในวัยเจริญเติบโตแล้ว ยังทำให้ใบหน้าเข้ารูปสวยงามได้อีกด้วย

ซึ่งต่างจากการจัดฟันตอนที่อยู่ในช่วงใกล้หยุดเจริญเติบโต หรือในช่วงเด็กโตเนื่องจากฟันจะเข้ารูปยากกว่าแถมไม่ช่วยเรื่องโครงหน้าอีกด้วย เหมาะสำหรับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของใบหน้า หรือมีความผิดปกติของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าที่อาจจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมหรือพฤติกรรมในวัยเด็ก ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ และภายหลังการจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้เด็กดูแลตนเองด้วยการรักษาความสะอาดของฟันและเครื่องมือจัดฟันให้สะอาด

โดยใช้แปรงสีฟันสำหรับผู้ที่จัดฟันโดยเฉพาะ ทำความสะอาดภายหลังรับประทานอาหารทุกมื้อและก่อนเข้านอน รักษาเครื่องมือจัดฟันให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ให้หลุดหักหรือบิดเบี้ยว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวรวมทั้งของหวาน ระมัดระวังเมื่อเล่นกีฬาที่อาจเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรง รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด และพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เด็กมีฟันที่สวยงามตั้งแต่อายุยังน้อย ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฟันในตอนโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และยังมีระสบการณ์ด้านทันตกรรมเด็กมาอย่างยาวนาน พร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับเด็กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย

23
motor expo เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย เปิดตัวแบรนด์ XPENG และยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ G6 อย่างเป็นทางการ 2 รุ่นย่อย

เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เอ็กซ์เผิง (XPENG) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย จัดงานเปิดตัวแบรนด์ เอ็กซ์เผิง และยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ G6 อย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองไว้ก่อนหน้า รวมถึงแสดงศักยภาพในการจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย ผ่านเครือข่าย 12 โชว์รูม พร้อมศูนย์บริการครบวงจร
 
มร. เจมส์ วู รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน เอ็กซ์เผิง มอเตอร์ส กล่าวว่า “เอ็กซ์เผิง เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอัฉจริยะ และเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทุกระดับ ที่หลงใหลในเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเราเชื่อว่าเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ต่อรูปแบบของการเดินทางในอนาคต ปัจจุบัน เอ็กซ์เผิง ได้รับความนิยมเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศแถบยุโรป รวมไปถึงตะวันออกกลาง เรามีนโยบายในการทำตลาดระดับโลก ผ่านความร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายในประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายในการจำหน่ายที่ครอบคลุม พร้อมบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ ผสานการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสม กับกลุ่มลูกค้าในประเทศไทย”
 
อภิวันท์ สิงห์ทวีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย กล่าวว่า “เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจาก เอ็กซ์เผิง มอเตอร์ส ให้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ‘เอ็กซ์เผิง’ ยานยนต์ไฟฟ้าอัฉจริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบในประเทศไทย ผ่านยานยนต์ไฟฟ้าที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างลงตัว พร้อมนำเสนอมิติใหม่แห่งการเดินทางอย่างยั่งยืน”
 

XPENG แบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ขับเคลื่อนสู่อนาคต ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
 
เอ็กซ์เผิง แบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ก่อตั้งช่วงปี 2557 โดย มร. เหอ เสี่ยวเผิง (He Xiaopeng) ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ต่อรูปแบบของการเดินทางในอนาคต โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับเทคโนโลยีล้ำสมัย พิสูจน์ได้จากสัดส่วนกว่า 40% ของพนักงานทั้งหมดร่วม 20,000 ชีวิต ทำงานอยู่ในแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ ไปถึงยานยนต์บินได้ หุ่นยนต์สุดไฮเทคและอื่นๆ หลังจากนั้นเพียงสองปี เอ็กซ์เผิง ก็สามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้าต้นแบบรุ่นแรกสำเร็จ
 
จังหวะการขับเคลื่อนธุรกิจของ เอ็กซ์เผิง ก้าวหน้าเป็นลำดับ นอกจากแผนในการเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะแต่ละรุ่นอย่างต่อเนื่อง อาทิ G3, P7, G9 เป็นต้น ยังนับเป็นก้าวสำคัญกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (NYSE-New York Stock Exchange) ขณะเดียวกัน ก็ได้รุกตลาดเข้าสู่ประเทศแถบยุโรป เปิดโชว์รูมในหลากหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน และ เดนมาร์ก มีการนำเสนอระบบขับอัตโนมัติบนทางหลวง (NGP-Navigation Guided Pilot) เป็นรายแรกในประเทศจีน พร้อมเปิดตัวแฟลกชิปสมาร์ทเอสยูวีรุ่น G9 ควบคู่ไปกับการเฉลิมฉลองในโอกาสที่รุ่น P7 ได้รับการผลิตครบ 100,000 คัน
 
สำหรับปีที่ผ่านมา เอ็กซ์เผิง ได้เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะสองรุ่น คือ อัลตร้าสมาร์ทเอสยูวีคูเป้ G6  และ X9 อัลตร้าสมาร์ทเอ็มพีวี 7 ที่นั่ง ที่พกพาเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย ภายใต้โรงงานผลิต 3 แห่งในประเทศจีน คือ จ้าวชิง, กวางโจว และอู่ฮัน ที่มีกำลังผลิตรวมสูงกว่า 600,000 คันต่อปี พร้อมขยายการทำตลาดไปอีกหลายประเทศทั้งในยุโรป และทวีปอื่นๆ ทั่วโลก

 
เปิดตัวพร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการ XPENG G6-Ultra Smart Coupe SUV

เอ็กซ์เผิง จีซิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบบ Ultra-Smart SUV Coupe ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากนักเขียนนิยายไซ-ไฟ (Sci-Fi) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบมอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง โครงสร้างบริเวณประตูแบบ 3 ชั้น มีความกว้างเป็นพิเศษ ช่วยปกป้องแบตเตอรี่จากการชนด้านข้างได้ดียิ่งขึ้น รองรับแรงกระแทกสูงสุดถึง 80 ตัน
 
แบ่ง 2 รุ่นย่อย คือ G6 Standard Range ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 505 กิโลเมตร (NEDC) ในราคา 1,439,000 บาท และ G6 Long Range ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 625 กิโลเมตร (NEDC) ในราคา 1,599,000 บาท มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ SiC Architecture ทั้งในส่วนระบบขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ ส่งผลให้กินกระแสไฟต่ำ ความร้อนสะสมน้อย และประสิทธิภาพโดยรวมสูง ที่สำคัญติดตั้งเป็นส่วนเดียวกับตัวถัง เรียกว่า Cell Integrated Body (CIB) ที่ได้การยอมรับว่าทันสมัยและดีที่สุดในปัจจุบันส่งผลให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยลดน้ำหนักและมีพื้นที่ห้องโดยสารกว้าง มีการอัพเดททั้งเฟิร์มแวร์และซอฟท์แวร์อัตโนมัติ ผ่านระบบออนไลน์ (OTA-Over The Air) ช่วยให้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยตลอดเวลา และทำให้ผู้ขับได้ใช้สิ่งที่ใหม่และทันสมัยก่อนใคร
 
ราคาข้างต้นรวมถึงการรับประกันดังนี้
1) การรับประกันคุณภาพสินค้า ระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 120,000 กิโลเมตร หรือแล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน*
2) การรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง ระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 160,000 กิโลเมตร หรือแล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน*
 
ราคาข้างต้นรวมถึงสิทธิพิเศษดังนี้
1) ประกันภัยชั้นหนี่งนาน 1 ปี มูลค่า 30,000 บาท (จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เท่านั้น*
2) เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา AC Portable Charger มูลค่า 6,000 บาท*
3) ตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระแสสลับรวมติดตั ้ง AC Wall Charger ขนาด 7.4 kW มูลค่า 35,000 บาท*
4) บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง แบบพรีเมียม ระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง*
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

 
ห้องโดยสาร Intelligent cockpit ตกแต่งล้ำสมัย มีจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 10.2 นิ้ว ด้านหน้าผู้ขับ ทัชสกรีนอเนกประสงค์ขนาด 14.96 นิ้ว ติดตั้งกลางแดชบอร์ด มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง Full scenario voice assistant 2.0 รองรับ Real time continuous voice command recognition, การใช้งานแบบมัลติโซน และการใช้งานแบบออฟไลน์
 

มั่นใจกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุด
 
เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการทำตลาดในประเทศไทย ผ่านยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เอ็กซ์เผิง ที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีล้ำอนาคต ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตยุคใหม่ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับมากยิ่งขึ้น ได้แต่งตั้งพาร์ทเนอร์จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการกลุ่มแรกในประเทศไทย ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ตลอดจนจังหวัดหลักในแต่ละภูมิภาคจำนวน 12 แห่ง นำโดย นำโดย เอ็กซ์เผิง รามคำแหง โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจรที่ได้เปิดให้บริการแล้ว ต่อด้วย สุขุมวิท, ประดิษฐ์มนูธรรม, แจ้งวัฒนะ, ราชพฤกษ์, พัทยา, ราชบุรี, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, อุดรธานี, เชียงใหม่ และเอ็กซ์เผิง ภูเก็ต จะทยอยเปิดบริการเร็วๆ นี้ และยังมีผู้สนใจร่วมลงทุนจากทั่วประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
 
 
รังสรรค์บริการครบวงจร ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
 
เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ภายใต้การบริหารโดย บริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ผู้นำธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และบริการครบวงจร มอบประสบการณ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าสู่ผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้า บริการประกันภัย บริการสินเชื่อเช่าซื้อ ลิสซิ่ง สินเชื่อรีไฟแนนซ์ และการเงินอย่างครบวงจร บริการหลังการขาย ซ่อมสีและตัวถัง เป็นต้น

24
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคคุชชิง (Cushing’s syndrome/Hypercortisolism)

โรคคุชชิง (กลุ่มอาการคุชชิง ก็เรียก) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะมีกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid ซึ่งเป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มหนึ่ง) มากเกิน เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ติดต่อกันนาน ๆ ในบ้านเราพบว่าเกิดจากการใช้สารที่มีสเตียรอยด์ปะปนในรูปของยาชุด ยาหม้อ และยาลูกกลอนที่ผู้ป่วยนิยมซื้อใช้เองโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นอกจากนี้อาจพบในผู้ป่วยที่จําเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการบำบัดรักษาโดยแพทย์ เช่น เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคไตเนโฟรติก ผู้ป่วยหลังผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

ส่วนน้อยเกิดจากต่อมหมวกไต* สร้างฮอร์โมน กลูโคคอติคอยด์ (ส่วนใหญ่ได้แก่ คอร์ติซอล) มากเกิน ดังที่เรียกว่า ภาวะคอร์ติซอลเกิน (hypercortisolism) ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเนื้องอกของอวัยวะที่สร้างฮอร์โมนชนิดนี้ เช่น

    เนื้องอกต่อมหมวกไต (adrenal adenoma) และมะเร็งต่อมหมวกไต (adrenal carcinoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากผิดปกติ
    เนื้องอกต่อมใต้สมอง (pituitary adenoma) ซึ่งสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน
    เนื้องอกอื่น ๆ ที่พบบ่อย คือมะเร็งปอดชนิด small cell lung carcinoma และเนื้องอกคาร์ซิ-นอยด์ (carcinoid tumor ซึ่งพบในทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี ต่อมไทมัส รังไข่ อัณฑะ เป็นต้น) เนื้องอกเหล่านี้สามารถสร้างฮอร์โมนเอซีทีเอช กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างคอร์ติซอลมากเกิน

สำหรับเนื้องอกต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 25-40 ปี ส่วนมะเร็งปอดพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป

การที่ร่างกายมีสารสเตียรอยด์ (ไม่ว่าในรูปของคอร์ติซอลที่ร่างกายสร้างเอง หรือสารสังเคราะห์ที่รับจากภายนอก) อยู่นาน ๆ ส่งผลให้มีการสะสมไขมันตามร่างกาย (ทำให้อ้วนและมีก้อนไขมันพอก) การสลายตัวของโปรตีนของกล้ามเนื้อ (ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาลีบ อ่อนแรง) การสลายตัวของแคลเซียมในกระดูก (ทำให้กระดูกพรุน นิ่วไต) การสร้างกลูโคสที่ตับจากโปรตีนและไขมัน (gluconeogenesis) แล้วปล่อยออกมาในกระแสเลือด (ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เบาหวาน) การยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อพังผืดและคอลลาเจน (ทำให้ผิวบาง หนังลาย ฟกซ้ำง่าย แผลหายยาก) การคั่งของโซเดียมในร่างกาย (ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง) เพิ่มการสร้างฮอร์โมนเพศชายหรือแอนโดรเจน (ทำให้สิวขึ้น ขนอ่อนขึ้น ประจำเดือนผิดปกติ) ส่งผลต่อจิตใจและอารมณ์ (ทำให้มีอารมณ์เคลิ้ม วิตกกังวล หรือซึมเศร้า อยากอาหาร) กดภูมิคุ้มกัน (ทำให้ติดเชื้อง่าย) กดการสร้างกระดูกและฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโต (ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า)

*ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต่อมไร้ท่อรูปร่างคล้ายผลองุ่นอยู่ตรงส่วนบนของไต (คล้ายหมวกที่ครอบอยู่เหนือยอดไต) ทั้งสองข้างประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนแกน (medulla) กับส่วนเปลือก (cortex)

ต่อมหมวกไตส่วนแกน มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนอะดรีนาลิน (adrenaline) กับนอร์อะดรีนาลิน (noradrenaline) ซึ่งจะช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต การสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดจะถูกกระตุ้นโดยสมอง
ส่วนต่อมหมวกไตส่วนเปลือก จะสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid) 3 กลุ่ม ได้แก่

1. แอลโดสเตอโรน (aldosterone) มีหน้าที่ควบคุมระดับเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม โซเดียมให้อยู่ในภาวะสมดุล

2. ฮอร์โมนเพศ ได้แก่ ฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน) ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างที่อัณฑะและรังไข่

3. กลูโคคอร์ติคอยต์ (glucocorticoid) มีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญได้แก่ คอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ฮอร์โมนสเตียรอยด์กลุ่มนี้มีหน้าที่ควบคุมเมตาบอลิซึม (กระบวนการแปรรูปอณู) โดยการสังเคราะห์ (anabolism) และแตกตัว (catabolism) ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้ร่างกายเกิดพลังงาน อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้ปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับความเครียด (เช่น การบาดเจ็บ การเจ็บป่วย การติดเชื้อ การทำงานหนัก ความเครียดทางอารมณ์) ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบรรเทาการอักเสบ และควบคุมภาวะภูมิแพ้และปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง การสร้างฮอร์โมนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนเอซีทีเอช (ACTH/adrenocorticotropic hormone) ซึ่งสร้างโดยต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์ และการสร้างเอซีทีเอชก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนซีอาร์เอช (CRH/corticotropin-releasing hormone) ซึ่งสร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสอีกต่อหนึ่ง ในขณะเดียวกันคอร์ติซอลก็ทำหน้าที่ในการทำปฏิกิริยาป้อนกลับต่อฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีคอร์ติซอลมากเกิน ก็จะไปยับยั้งไม่ให้สร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งจะทำให้ต่อมหมวกไตลดการสร้างคอร์ติซอลลง ปรากฏการณ์ที่พบได้บ่อยก็คือ การที่ผู้ป่วยใช้สารสเตียรอยด์ (กลูโคคอร์ติคอยด์) สังเคราะห์ ได้แก่ เพร็ดนิโซโลน (prednisolone) และเดกซาเมทาโซน (dexamethasone) ซึ่งออกฤทธิ์เป็น 5 และ 40 เท่าของคอร์ติซอลตามลำดับ ติดต่อกันนาน ๆ จะยับยั้งการสร้างฮอร์โมนซีอาร์เอชและเอซีทีเอช ซึ่งมีผลทำให้ต่อมหมวกไตฝ่อ สร้างคอร์ติซอลได้น้อยลง ถ้าหากมีการหยุดใช้สารสเตียรอยด์สังเคราะห์ทันทีทันใด อาจทำให้เกิดภาวะขาดสเตียรอยด์เฉียบพลัน กลายเป็นภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis) ได้

อาการ

มักจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นแรมเดือน ในระยะแรกจะพบว่าผู้ป่วยหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) แลดูเป็นหนอก ซึ่งทางภาษาแพทย์ เรียกว่า อาการหนอกควาย (buffalo’s hump) รูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง

ผิวหนังจะออกเป็นลายสีคล้ำ ๆ ที่บริเวณท้อง (ท้องลายคล้ายคนหลังคลอด) บริเวณสะโพก กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา ผิวหนังบางและมีจ้ำเขียวพรายย้ำง่ายเวลาถูกกระทบกระแทก

มักมีสิวขึ้นที่หน้า หน้าอก หลัง และมีขนอ่อนขึ้นที่หน้า ลำตัว และแขนขา (ถ้าพบในผู้หญิงทำให้ดูว่าคล้ายมีหนวดขึ้น) กระดูกอาจผุกร่อน มักทำให้มีอาการปวดหลัง (เพราะกระดูกสันหลังผุ) หรือกระดูกแตกหักง่าย

อาจมีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการของเบาหวาน

ผู้หญิงอาจมีเสียงแหบห้าว มีขนมากแบบผู้ชาย ประจำเดือนมักจะออกน้อยหรือไม่มาเลย และมีบุตรยาก

ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกอยากอาหาร ไม่มีความรู้สึกทางเพศ อาจมีอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ซึมเศร้าหรือกลายเป็นโรคจิต

ในรายที่เป็นเนื้องอกต่อมได้สมอง มักมีอาการปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะตอนกลางคืน ตามัว มีน้ำนมไหลผิดธรรมชาติ และอาจมีอาการของภาวะขาดไทรอยด์ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะแทรกซ้อนเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เช่น หัวใจวาย อัมพาตครึ่งซีก โรคหัวใจขาดเลือด

อาจมีการติดเชื้อง่ายซึ่งจะพบบ่อยที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก

อาจทำให้เป็นแผลเพ็ปติก ต้อกระจก ต้อหินเรื้อรัง กระดูกหักง่าย นิ่วไต หรือเป็นโรคจิต

ถ้าพบในเด็กอาจทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากการใช้สารสเตียรอยด์มากเกิน ถ้าหากหยุดสเตียรอยด์ทันที (steroid withdrawal) หรือขณะเกิดการเจ็บป่วย ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "ภาวะช็อก") เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน พุงป่อง หน้าอูม มีก้อนไขมันขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและต้นคอด้านหลัง แขนขาลีบ หน้ามีสิวและขนอ่อนขึ้น ท้องลาย ก้นลาย ผิวหนังบาง พบจ้ำเขียวพรายย้ำ ความดันโลหิตสูง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจระดับคอร์ติซอลในเลือดและปัสสาวะ ซึ่งพบว่าสูงกว่าปกติ ตรวจระดับเอซีทีเอช (ACTH) ซึ่งจะพบว่าต่ำในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมหมวกไต และพบว่าสูงในผู้ป่วยเนื้องอกต่อมใต้สมอง และอาจทำการทดสอบที่เรียกว่า “Dexamethasone suppression test”* และอาจจำเป็นต้องทำการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาเนื้องอกต่าง ๆ

นอกจากนี้อาจต้องทำการตรวจหาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตรวจเลือด (พบน้ำตาลสูง ไขมันชนิดแอลดีแอลและไตรกลีเซอไรด์สูง โพแทสเซียมต่ำ) เอกซเรย์ (พบร่องรอยกระดูกหัก หัวใจห้องล่างซ้ายโต นิ่วไต)

* โดยให้สเตียรอยด์สังเคราะห์ได้แก่ เดกซาเมทาโซน แก่ผู้ป่วยตอนกลางคืน (23:00 น.) แล้ววัดระดับคอร์ติซอลในเลือดตอนเช้า (08.00 น.) ถ้าพบว่ามีค่าต่ำลงมาก ก็มักจะไม่ใช่โรคคุซซิง (เนื่องจากสารนี้จะไปกดต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไตจนลดการสร้างคอร์ติซอล) แต่ถ้าลดลงบางส่วนก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง ถ้าไม่ลดก็มักจะเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีสาเหตุจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน แพทย์จะยังคงให้ผู้ป่วยกินยาสเตียรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน แต่จะหาทางค่อย ๆ ลดขนาดของยาลงทีละน้อย และทำการตรวจวัดระดับคอร์ติซอลในเลือดเป็นระยะ ๆ ซึ่งจะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่มีระดับต่ำ จนกลับสู่ระดับปกติในที่สุด ซึ่งมักจะใช้เวลานานเป็นปี จึงจะหยุดยาสเตียรอยด์

ถ้ามีสาเหตุจากการเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แล้วให้กินยาสเตียรอยด์ทดแทนไปจนตลอดชีวิต เพราะภายหลังการผ่าตัดร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดนี้เองไม่ได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีความลำบากในการยกต้นแขนขึ้น เดินขึ้นบันได และลุกจากที่นั่ง มีอาการหน้าอูมขึ้น จนหน้ากลมเป็นวงพระจันทร์และออกสีแดงเรื่อ ๆ มีก้อนไขมันเกิดขึ้นที่แอ่งไหปลาร้า 2 ข้างและที่ต้นคอด้านหลัง (อยู่ระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้าง) หรือมีรูปร่างอ้วน โดยจะอ้วนมากตรงเอว (พุงป่อง) แต่แขนขากลับลีบเล็กลง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคคุชชิง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วอาการไม่ทุเลา มีอาการมีไข้ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หรือมีการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง (เช่น ฝี พุพองง่าย โรคเชื้อรา) และทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นแผลหายยาก
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการซื้อยาสเตียรอยด์ และยาชุด ยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์มาใช้เอง


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเกิดจากการใช้สเตียรอยด์มากเกินเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้พร่ำเพรื่อ หรือใช้อย่างผิด ๆ (เช่น การซื้อยาชุด ยาหม้อ หรือยาลูกกลอนที่มียานี้ผสมกินเป็นประจำ) ยกเว้นโรคบางโรคอาจต้องใช้ยานี้รักษา ซึ่งก็ควรจะอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

2. ในรายที่เป็นโรคคุชชิงจากการใช้สเตียรอยด์มากเกิน ระหว่างรอไปพบแพทย์ ห้ามหยุดยาสเตียรอยด์ทันที ควรให้กินสเตียรอยด์ต่อไปจนกว่าแพทย์จะปรับลดขนาดลง มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะขาดสเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน จนเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

3. โรคนี้ถ้าไม่รักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อน เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

4. ในรายที่เกิดจากเนื้องอกชนิดไม่ร้าย การผ่าตัดจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติได้ แต่จะต้องกินสเตียรอยด์เข้าไปทดแทนในร่างกายตลอดไป ห้ามขาดยาเป็นอันขาด

25
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG-Galaxy Z Fold4 (12GB/512GB)
65,900 บาท 

ซัมซุง SAMSUNG-Galaxy Z Fold4 (12GB/512GB)
SAMSUNG Galaxy Z Fold4 สมาร์ตโฟนสองเครื่องในหนึ่งเดียว ซึ่งมีน้ำหนักเบาจนแทบจะไม่รู้สึกว่ามันคือโทรศัพท์หน้าจอพับได้ หน้าจอขนาด 7.6 นิ้ว มาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ความจุแบตเตอรี่ 4,400 mAh

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                 ซัมซุง SAMSUNG-Galaxy Z Fold4 (12GB/512GB)
   ราคากลาง              65,900 บาท
   จำนวนซิม              2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์             จอสัมผัส
   สี                          Black(Phantom Black), Beige, Other(Graygreen, Burgundy)

   ความถี่-เครือข่าย
2G(GSM 850 / 900 / 1800 / 1900)
3G(HSDPA 850 / 900 / 1700(AWS) / 1900 / 2100)
4G(LTE)
5G(SA/NSA/Sub6/mmWave)

   ขนาด-น้ำหนัก                         ยาว 155.1 x กว้าง 130.1 x หนา 6.3 มม., น้ำหนัก 263 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)     512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด        -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ           ความจุแบตเตอรี่ 4,400 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                                จอสัมผัส (Foldable Dynamic AMOLED 2X)
   ความละเอียด                         7.6 นิ้ว, 373 ppi, 1,812 x 2,176 px
   รายละเอียดอื่น
ระบบปฏิบัติการ Android 12L, One UI 4.1.1
ประมวลผลชิปเซ็ต Qualcomm SM8475 Snapdragon 8+ Gen 1
กล้องหลัง 3 เลนส์ เลนส์หลัก 50 MP, f/1.8 + เลนส์ telephoto 10 MP, f/2.4 + เลนส์ ultrawide 12 MP, f/2.2
รองรับ Fast charging 25W

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                    กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (4 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                  Auto Focus, Flash

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)                Octa-core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)      Adreno 670
   หน่วยความจำ (RAM)                    12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                   USB(Type-C 3.2), Bluetooth(5.2), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/6e, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot)
   ระบบรับส่งข้อความ                       SMS, MMS, EMAIL, PUSH MAIL
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต                  3G, GPRS, EDGE, WiFi, 4G, 5G
   ระบบ GPS                                 A-GPS, GLONASS, GALILEO, BDS

26
หากเด็กมีอาการฟันผุ ขณะจัดฟันเด็ก
 
การเกิดฟันผุในเด็กนั้น มักพบได้บ่อยเพราะเด็กไทยส่วนใหญ่มักมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการตกค้าง เวลาที่เด็กแปรงฟันได้ไม่สะอาด ซึ่งในข้อนี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและสอนเด็กให้รู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพราะถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่เด็กมีฟันน้ำนมผุจนรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟันก็อาจจะทำให้ฟันแท้มีปัญหาได้ เพราะเนื่องจากการที่ฟันน้ำนมหลุดออก ก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้ฟันแท้ที่กำลังสร้างฐานได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้ฟันแท้งอกขึ้นมาอย่างผิดปกติหรือบางครั้งเด็กอาจเกิดภาวะฟันแท้หาย

เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ ซึ่งในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก การจัดฟันในเด็กนั้น เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น ถ้าวงการทันตกรรมได้คิดค้นนวัตกรรมที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยเด็กที่มีอายุสี่ถึง 15 ปีก็สามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้แล้วโดยไม่ต้องรอให้ฟันแท้ขึ้นครบ ถือว่าสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน แต่การเข้ารับการจัดฟันอาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมาได้

ทั้งนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้มาก คอยหมั่นสังเกตกรรมการแปรงฟันหรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อที่เด็กจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฟันผุ แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้วและเด็กเกิดมีอาการฟันผุจะต้องทำอย่างไร ซึ่งปัญหาดังกล่าวมักพบได้บ่อยในเด็กที่เข้ารับการจัดฟัน
 
วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการเกิดอาการฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กที่ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะจัดฟันต้องมีการใส่เครื่องมือจัดฟันอย่างเข้าไปในช่องปาก ส่งผลให้เกิดช่องว่างหรือซอกเล็กๆ ระหว่างฟันและเครื่องมือ ที่แปรงสีฟันธรรมดาที่เราใช้กัน ไม่สามารถทำความสะอาดได้ทั่วถึง

เมื่อมีเศษอาหารติดบริเวณเครื่องมือ การทำความสะอาดฟันจึงทำได้ยากจำเป็นต้องใช้ความใส่ใจ เวลา และวิธีทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น แปรงขนาดเล็กที่สามารถชอนไชไปตามซอกฟันได้ ใช้ไหมขัดฟัน หากไม่ใส่ใจมากพอในเรื่องความสะอาดมากพอในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ก็จะทำให้เด็กฟันผุได้

มีโอกาสเกิดหินปูนเกาะจนเหงือกอักเสบได้  หรืออาจทำให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ นั่นเอง แล้วเมื่อเด็กฟันผุขณะจัดฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรจะต้องพาเด็กเข้าพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขโดยทันที แต่ความจริงแล้วปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟันก่อนการเข้ารับการจัดฟันนั้น ทันตแพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียดเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาก่อนเข้ารับการจัดฟันเพื่อให้การจัดฟันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาแทรกซ้อน

แต่ในกรณีที่เด็กเกิดฟันผุขณะเข้ารับการจัดฟันนั้นจะต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วนเพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันได้หรืออาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณข้างเคียงซี่อื่นๆ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจมันสังเกตช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้ติดตามดูอาการและผลข้างเคียงต่างๆด้วย
 
หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน เพื่อที่จะได้ให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด หากเด็กมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทางเราสามารถตรวจและแก้ไขรักษาได้ก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อที่จะได้ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่สดใสสวยงาม มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

27
Doctor At Home: ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) เป็นภาวะที่เยื่อบุบริเวณโพรงอากาศข้างจมูกเกิดการอักเสบบวมจากการติดเชื้อ ทำให้คัดจมูก มีน้ำมูกข้น ปวดบริเวณจมูก ตา โหนกแก้ม หน้าผาก ฟัน ไอ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น สามารถเกิดได้ทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรัง ซึ่งการรักษาสามารถทำได้โดยการดูแลตนเองร่วมกับใช้ยาตามแพทย์สั่ง

ไซนัส (Sinus) คือ โพรงอากาศบริเวณกระดูกใบหน้า มี 4 คู่ ได้แก่ ไซนัสแมกซิลลา (Maxillary Sinus) อยู่ในกระดูกโหนกแก้ม ไซนัสเอธมอยด์ (Ethmoid Sinus) อยู่ระหว่างเบ้าตาและด้านข้างของจมูก ไซนัสฟรอนตัล (Frontal Sinus) อยู่ในกะโหลกส่วนหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ไซนัสสฟีนอยด์ (Sphenoid Sinus) อยู่ในกระดูกส่วนที่เป็นฐานสมอง โดยภายในโพรงไซนัสแต่ละจุดจะมีเยื่อบุไซนัสทำหน้าที่ผลิตเมือกสำหรับดักจับฝุ่นและเชื้อโรค

อาการของไซนัสอักเสบ

เนื่องจากไซนัสอักเสบเกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุไซนัสที่บริเวณโหนกแก้ม โพรงจมูก และกระดูกหน้าผาก อาการของไซนัสส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ ดังนี้

    หายใจติดขัด อึดอัด คัดจมูก
    มีน้ำมูกสีเขียวหรือสีเหลืองข้น
    ประสาทรับกลิ่นไม่ดี
    ปวดบริเวณไซนัส ได้แก่ โหนกแก้ม หน้าผาก จมูกตรงระหว่างคิ้ว หัวคิ้ว และหัวตา
    ปวดฟัน ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น มีกลิ่นปาก
    มีไข้ อ่อนเพลีย
    ไอ เจ็บคอ มีมูกข้นในลำคอหรือมูกไหลลงลำคอ

อาการของไซนัสอักเสบมีระยะเวลาฟื้นตัวและหายดีแตกต่างกันตามชนิดของการอักเสบ คือ

    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute Sinusitis) มักเกิดร่วมกับโรคหวัด ระยะเวลาป่วย 2–4 สัปดาห์
    ไซนัสอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นยาวนานประมาณ 4–12 สัปดาห์
    ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (Chronic Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป มักพบร่วมกับการป่วยโรคภูมิแพ้
    ไซนัสอักเสบซ้ำซ้อน (Recurrent Sinusitis) การอักเสบเกิดขึ้นมากกว่า 3 ครั้งใน 1 ปี โดยแต่ละครั้งมีอาการนานมากกว่า 10 วัน


สาเหตุของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ เกิดจากเยื่อบุไซนัสติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านเข้ามาทางกระบวนการหายใจ จนเนื้อเยื่อเกิดอาการบวม สารคัดหลั่งเมือกเหลวที่ถูกผลิตขึ้นจึงเกิดการอุดตันกลายเป็นหนองอักเสบหรือน้ำมูกเขียวข้น ทำให้เกิดอาการคัดจมูก มีน้ำมูกไหล มีอาการปวดบริเวณไซนัสที่อักเสบ และมีอาการป่วยอื่น ๆ ตามมา

ไซนัสอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของผู้ป่วย หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่รุนแรงขึ้นอาการจะทุเลาลงและหายดีเองภายในประมาณ 10 วัน ในขณะที่การติดเชื้อแบคทีเรียจนทำให้ไซนัสอักเสบจะพบได้ไม่บ่อยนัก ประมาณ 5–10% เท่านั้น และต้องได้รับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ มักมีอาการนานกว่า 10 วัน หรืออาการแย่ลงหลังจากเป็นมานาน 5 วัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้อาการอักเสบยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ทุเลาลง หรือลุกลามยาวนานจนกลายเป็นไซนัสอักเสบระยะเรื้อรังมีหลายปัจจัย เช่น การป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะภูมิแพ้อากาศและหอบหืด การเกิดเนื้องอกในจมูก การเกิดผนังกั้นช่องจมูกคด การมีภูมิคุ้มกันต่ำ และการสูบบุหรี่

 
การวินิจฉัยไซนัสอักเสบ

การวินิจฉัยอาการไซนัสอักเสบอาจใช้วิธีสังเกตตนเองร่วมกับการตรวจจากแพทย์ ดังนี้
การวินิจฉัยด้วยตนเอง

อาการของไซนัสคล้ายกับอาการของไข้หวัด ผู้ป่วยควรสังเกตว่ามีน้ำมูกอุดตันจนหายใจลำบาก มีมูกข้นในลำคอหรือไหลลงสู่ลำคอ หรือมีอาการปวดตามจุดต่าง ๆ ที่เป็นตำแหน่งของไซนัสหรือไม่

และควรมาพบแพทย์ทันทีหากมีอาการป่วยรุนแรง เช่น มีอาการปวดศีรษะมาก ไข้สูง มองเห็นภาพซ้อนหรือการมองผิดจากปกติ ปวดบวมบริเวณดวงตา จมูก หน้าผาก แก้ม รักษาแล้วแต่อาการไม่ทุเลาลง มีอาการเรื้อรังยาวนานเกินกว่า 10 วัน หรือเคยมีประวัติป่วยด้วยไซนัสอักเสบมาก่อน


การวินิจฉัยโดยแพทย์

ในเบื้องต้นแพทย์จะซักถามอาการและประวัติการป่วยร่วมกับการตรวจร่างกาย โดยอาจพบเยื่อบุโพรงจมูกมีการอักเสบบวมแดงหรือมีหนอง ตรวจมูกหนองในลำคอ และกดตามจุดบริเวณใบหน้าเพื่อตรวจหาตำแหน่งอักเสบของไซนัส

ส่วนการตรวจพิเศษเพื่อให้ทราบผลที่แน่ชัด แพทย์มักใช้วิธีวินิจฉัยภาพที่ได้จาก

    Computed Tomography Scan (CT Scan) แพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเข้าไปทางหลอดเลือดดำ แล้วฉายรังสีเอกซ์ให้คอมพิวเตอร์สร้างภาพออกมา โดยในระหว่างการฉายรังสีจะไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด
    Magnetic Resonance Imaging (MRI) เป็นเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้นอวัยวะส่วนที่จะตรวจ แล้วสร้างเป็นภาพออกมา เป็นวิธีการตรวจที่มีความละเอียดและความแม่นยำสูง สามารถใช้ตรวจร่างกายภายในได้ทุกระบบ แพทย์จะวินิจฉัยจากภาพที่ได้ว่ามีสารเหลวอยู่ในบริเวณไซนัสหรือไม่และบริเวณใด แล้วเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป

นอกจากนั้น แพทย์ยังอาจใช้การตรวจเลือดเพื่อหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Cell) เพื่อดูการทำงานและปริมาณของเม็ดเลือดขาว ตรวจหาอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte Sedimentation Rate, ESR) และตรวจหา C-Reactive Protein ในเลือด

อีกวิธีที่ใช้ตรวจบริเวณโพรงจมูกและไซนัส คือ Nasal Endoscopy เป็นการส่องกล้อง Endoscope โดยแพทย์จะสอดหลอดแก้วนำแสงเข้าไปทางจมูก แล้วตรวจดูจุดต่าง ๆ ว่ามีการอักเสบหรือมีหนองที่ไซนัสหรือไม่ผ่านภาพจากกล้อง


การรักษาไซนัสอักเสบ

การรักษาอาการอักเสบของไซนัสอาจทำได้ด้วยการดูแลตนเองและการเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ดังนี้


การดูแลตนเองเบื้องต้น

หากป่วยด้วยไซนัสอักเสบแบบเฉียบพลัน อาการจะทุเลาลงและหายดีภายใน 2–4 สัปดาห์ ในระหว่างนั้นผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองที่บ้านได้ ดังนี้

    การใช้ยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น กลุ่มยาแก้ปวดและลดไข้ อย่างพาราเซตามอล (Paracetamol) และไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เพื่อช่วยลดไข้และบรรเทาอาการปวดบวมอักเสบ และกลุ่มยาลดน้ำมูกและแก้คัดจมูก (Decongestant) เพื่อช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกหายใจติดขัด อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังของยากลุ่มนี้คือไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเกินกว่า 1 สัปดาห์
    การใช้แผ่นประคบร้อน (Warm Pack) ประคบตามจุดต่าง ๆ ที่มีอาการปวดบนใบหน้า ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดและทำให้มูกเหลวที่อักเสบไหลออกมามากขึ้น
    การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ โดยก่อนการล้างจมูกควรล้างมือและอุปกรณ์ทุกชนิดให้สะอาด แล้วใช้กระบอกฉีดยาฉีดน้ำเกลือเข้าโพรงจมูกข้างหนึ่งอย่างช้า ๆ น้ำเกลือจะชะล้างหนองที่อักเสบและสิ่งสกปรกที่ตกค้างภายในโพรงจมูกให้ไหลออกมาทางจมูกอีกข้างหนึ่ง


การรักษาทางการแพทย์

หากเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว อาการไซนัสอักเสบยังไม่ทุเลาลง มีอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นไซนัสอักเสบซ้ำหลายครั้ง ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการ โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษา ดังนี้


การให้ยา

ยาบางชนิดต้องอยู่ภายใต้คำสั่งและการดูแลของแพทย์ ได้แก่ ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Nasal Corticosteroids) เป็นยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ ใช้พ่นเข้าไปในจมูกเพื่อลดอาการอักเสบ ลดการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก มีประสิทธิผลทั้งทางการรักษาและทางการป้องกันการอักเสบ

ในบางกรณี หากสเตียรอยด์แบบสเปรย์รักษาไม่ได้ผล แพทย์จะให้ใช้สเตียรอยด์แบบหยด โดยผสมสเตียรอยด์ในน้ำเกลือที่ใช้ล้างจมูกแทน ผลข้างเคียงของการใช้ยานี้คือ อาจเกิดอาการระคายเคืองจมูก มีเลือดไหลจากจมูก หรือเจ็บคอร่วมด้วย ส่วนยาสเตียรอยด์แบบรับประทานจะใช้ในรายที่มีอาการป่วยรุนแรง และไม่ควรใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

สำหรับยาลดอาการคัดจมูกแบบรับประทาน เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine แพทย์จะจ่ายยาในปริมาณสำหรับรับประทาน 10–14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3–5 วัน

ส่วนยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) จะถูกนำมาใช้ในกรณีที่ไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาโดยพิจารณาจากความรุนแรงของโรคเป็นเวลา 10–14 วัน เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin

แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2–3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin


การผ่าตัด

หากการรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย


ภาวะแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังนี้

    เกิดภาวะประสาทรับกลิ่นแย่ลง (Hyposmia) หรือสูญเสียประสาทรับกลิ่น (Anosmia) นอกจากการอุดตันของมูกและหนองจะทำให้คัดจมูกหายใจลำบากแล้ว ยังมีผลต่อการรับกลิ่นของเซลล์บริเวณจมูกด้วย
    การติดเชื้อซ้ำซ้อน แม้จะมีภาวะไซนัสอักเสบไปแล้ว แต่บริเวณเยื่อบุไซนัสอาจอักเสบซ้ำได้ด้วยสาเหตุอื่น หรือการอักเสบอาจเกิดขึ้นกับไซนัสบริเวณอื่น ซึ่งจะเป็นผลให้อาการป่วยทรุดลงหรือพัฒนาไปสู่ภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง
    ต่อมน้ำลายอุดตัน เป็นผลพวงมาจากการอุดตันของหนองอักเสบในไซนัส หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามไปยังโครงสร้างอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง
    การติดเชื้อที่อวัยวะและโครงสร้างเซลล์บริเวณใกล้เคียงกับไซนัส เป็นกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้แต่ไม่บ่อยนักแต่จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การอักเสบที่ดวงตา เส้นเลือดอักเสบ เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การอักเสบของกระดูกและไขกระดูก


การป้องกันไซนัสอักเสบ

การป้องกันไซนัสอาจเสบอาจทำได้โดยการปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

    ป้องกันตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยไซนัสอักเสบ โดยสามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี รักษาสุขอนามัย ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือสัมผัสผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคไข้หวัด
    หลีกเลี่ยงฝุ่นควันและมลภาวะ เมื่อต้องออกนอกบ้านหรือเดินทางในพื้นที่เสี่ยงต่อมลภาวะ ควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เมื่ออยู่ในบ้านก็ควรทำความสะอาดกำจัดฝุ่นและขนสัตว์อยู่เสมอ และหากป่วยเป็นภูมิแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือสัมผัสสารที่ตนแพ้ด้วย
    ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้คนที่กำลังสูบบุหรี่ เพราะควันและสารพิษจากบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายเคืองในเนื้อเยื่อจมูกและไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบตามมา
    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เช่น พืชผักผลไม้และอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างส้ม องุ่น ถั่ว ผักคะน้า หัวมัน ธัญพืช เนื้อปลา

28
มอเตอร์โชว์: Toyota ยืนยัน Century GRMN SUV เตรียมผลิตจริงแล้ว

เมื่อปีก่อน Toyota ได้เปิดตัว Century SUV ภายในงานดังกล่าวมาพร้อมรุ่น GRMN รถเวอร์ชันเน้นสมรรถนะที่โชว์เพียงคันเดียวในโลกเท่านั้น แต่คราวนี้ Akio Toyoda ประธานของโตโยต้ายืนยันแล้วว่า Century GRMN SUV จะมีการผลิตขายจริง เริ่มจากในบ้านเกิดอย่างญี่ปุ่น และมีจำหน่ายในจีนอีกด้วย
 
สำหรับ GRMN ย่อมาจาก “Gazoo Racing Masters of Nürburgring” ซึ่งเป็นแผนกมอเตอร์สปอร์ต Gazoo Racing ของ Toyota ซึ่งเทียบเท่ากับที่ Mercedes-Benz มี AMG หรือ BMW มี M Division เลยทีเดียว
 
ประธาน Toyota ยืนยันเอง
 
ข่าวนี้เกิดขึ้นระหว่างการประชุมกันระหว่าง Akio Toyoda และเจ้าของ Century ในประเทศจีน โดยการเปิดตัว Century SUV ในจีนนั้นต้องการตั้งเป้าไปที่ “ผู้นำอายุน้อย” และระหว่างการประชุมมีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งถามว่าจะมีรุ่น GRMN อยู่ในแผนหรือไม่   
 
ประธานโตโยดะตอบว่า “Century ที่ผมเป็นเจ้าของคือรุ่น GRMN หนึ่งเดียวที่มีตอนนี้ แต่ต่อไป ผมอยากสร้าง GRMN ที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเป็นเจ้าของได้” และเมื่อถูกถามว่าจะนำรุ่นนี้มาขายในจีนหรือไม่ โตโยดะก็ยืนยันว่า “เรามีแผนที่จะทำเช่นนั้น”
 
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวต่อไปว่า “เราจำเป็นต้องรออีกสักหน่อย”


Century GRMN SUV พิเศษกว่า Century ปกติอย่างไร
 
สำหรับ Toyota Century GRMN SUV เป็นรถต้นแบบที่เปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 และได้เป็นหนึ่งในรถที่จัดแสดงในงาน Tokyo Auto Salon 2024 ที่ผ่านมา ภายใต้คอลเลคชั่นของ Morizo ซึ่งก็คือชื่อในวงการมอเตอร์สปอร์ตของโตโยดะนั่นเอง
 
Century GRMN SUV มาพร้อมพาร์ทรอบคันใหม่ เราจะเห็นชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์หลายชิ้น พร้อมกับประตูบางเลื่อนและล้อลายใหม่สีดำแบบสปอร์ตขนาด 22 นิ้ว
 

Century SUV รุ่นปกติ
 
คาดว่าจะแรงขึ้น
 
Toyota ยังไม่เปิดเผยข้อมูลสเปคของรถคันนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการปรับปรุงหลายประการ เช่น ช่วงล่าง, ระบบเบรค ไปจนถึงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังมากขึ้น เนื่องจากรถในเวอร์ชัน GRMN คือโมเดลที่จะเป็นที่สุดในไลน์อัพของ Toyota Gazoo Racing ทั้งด้านสมรรถนะและการควบคุม
 
ขุมพลังเดิมของ Century SUV มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ปลั๊กอินไฮบริด PHEV ให้กำลังรวมสูงสุด 406 แรงม้า (hp) จับคู่เกียร์ e-CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบ E-Four Advanced AWD หากปรับแต่งด้วยสำนัก GRMN คาดว่าสามารถต่อกรกับ Aston Martin DBX707, Lamborghini Urus, และ Mercedes-AMG G63 ได้ทั้งความหรูและความแรงเลยทีเดียว
 

กำเงินรอได้เลย
 
หากพิจารณาตามที่ Akio Toyoda กล่าวแล้ว Toyota Century GRMN SUV มีโอกาสผลิตจริงแน่นอน โดยจะเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก และขยายไปยังประเทศอื่น ซึ่งมีโอกาสมากที่ประเทศจีนจะเป็นประเทศต่อไป

29
ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)

ไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBV) ซึ่งอาจนำไปสู่โรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อตับและชีวิตได้ เช่น ตับวาย ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกายผ่านการใช้เข็มฉีดยา ฝังเข็ม ใช้อุปกรณ์ที่ปนเปื้อนร่วมกัน หรือการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย

ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ทั่วโลกประมาณ 350–400 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยก็มีการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบ บี สูงประมาณร้อยละ 6–10 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นจำนวนประชากร 6–7 ล้านคน โดยการรับเชื้อส่วนใหญ่จะมาจากมารดาผู้เป็นพาหะนำโรคไปสู่ทารกในตอนคลอด


อาการไวรัสตับอักเสบ บี

อาการของไวรัสตับอักเสบ บี มักเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 1–3 เดือนแรกหลังจากที่ได้รับเชื้อ และผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 90–95 สามารถหายเป็นปกติจากการที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้น ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำในอนาคต ส่วนรายที่ไม่สามารถหายเองได้ประมาณร้อยละ 5–10 มักจะไม่มีอาการแสดงออกมา ซึ่งผู้ป่วยที่ไม่มีอาการแสดงสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้

อาการที่เกิดขึ้นในผู้ใหญ่ในช่วง 1–3 เดือนแรก จะเรียกว่าระยะเฉียบพลัน โดยในระยะนี้จะยังไม่ค่อยพบว่ามีอาการที่รุนแรงหรือน่ากังวลมากนัก แต่หากการติดเชื้อดำเนินต่อไปเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป จะเรียกว่าระยะเรื้อรัง โดยระยะเรื้อรังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอย่างตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งอาการก็จะแตกต่างกันออกไป

ทั้งนี้ ทั้งระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรังสามารถพบอาการได้ตั้งแต่เป็นน้อยจนเป็นรุนแรง โดยจะขึ้นอยู่กับระดับการอักเสบของตับในผู้ป่วยแต่ละคน


สาเหตุของไวรัสตับอักเสบ บี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้จะติดต่อผ่านคนสู่คน โดยติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่งในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกาย หากผู้ที่ได้รับเชื้อมาไม่มีภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบ บี ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้


การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบ บี

การวินิจฉัยในเบื้องต้นสามารถทำเองได้โดยการสังเกตอาการที่เกิดขึ้น เช่น ปวดท้อง มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งหากผู้ป่วยพบว่าตัวเองมีโอกาส มีความเสี่ยง หรือพบว่ามีอาการของไวรัสตับอักเสบ บี ให้ไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดและอาจนำเอาตัวอย่างชิ้นเนื้อตับไปตรวจ


การรักษาไวรัสตับอักเสบ บี

การรักษาไวรัสตับอักเสบ บี แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ ระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง เมื่อมีการวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบ บี ระยะเฉียบพลัน ซึ่งสามารถหายได้เอง แพทย์จะแนะนำการปฏิบัติตัว เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีโภชนาการสูง และดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ เพราะร่างกายกำลังต่อสู้ในการกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่

หากได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ บี ระยะเรื้อรัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคตับที่รุนแรง และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น โดยการรักษาที่แพทย์แนะนำนั้นขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน เช่น การรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส ยาอินเตอร์เฟอรอน หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับ


ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบ บี

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของไวรัสตับอีกเสบ บี จะเกิดในระยะเรื้อรัง โดยอาจทำให้เกิดโรคที่ร้ายแรงขึ้นได้ เช่น โรคตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากการที่เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลงไป หรือตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ จนอาจต้องทำการเปลี่ยนตับหรือปลูกถ่ายตับใหม่


การป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

การป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน โดยควรฉีดตั้งแต่แรกเกิด แต่เด็กโตและผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนก็สามารถฉีดวัคซีนได้เช่นกัน

นอกจากนั้น เรายังสามารถป้องกันและระมัดระวังไวรัสตับอักเสบ บีได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่กังวลหรือเครียดจนเกินไป สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หรือหากต้องการเจาะหูหรือสักลายควรเลือกร้านที่น่าเชื่อถือถูกหลักอนามัย

30
บ้านติดรถไฟฟ้า เฌอ บางขุนนนท์ (Cher Bangkhunnon)
เริ่มต้น 3.99 ลบ.

เฌอ บางขุนนนท์ (Cher Bangkhunnon)
ทาวน์โฮม 2-3 ชั้น หนึ่งเดียวในบางขุนนนท์ ทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ในเขตกรุงเก่าใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น สู่การสร้างสรรค์บ้านที่สะท้อนเอกลักษณ์ของคนเมืองที่รักธรรมชาติและชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบร่มเย็น เดินทางสะดวก สามารถสานต่อวิถีชีวิตครอบครัวที่มีทั้งวัยเด็กสู่วัยสูงอายุได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อการเดินทางด้วยทางด่วน และสถานีรถไฟฟ้า บางขุนนนท์ Interchange Station

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               เฌอ บางขุนนนท์ (Cher Bangkhunnon)
 เจ้าของโครงการ         พีซแอนด์ลีฟวิ่ง
 ราคา                         เริ่มต้น 3.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน            ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล            บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ           20 ไร่ 3 งาน 48 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             196 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด       3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน               ตั้งแต่ 17.5 ถึง 21.2 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย             ตั้งแต่ 122 ถึง 197 ตร.ม.
 จำนวนชั้น               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง                ตั้งแต่ 5 ถึง 5.7 ม.
 จำนวนห้องนอน      ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ        2 คัน
 สาธารณูปโภค           สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน               บางกอกน้อย
 ที่ตั้ง               ซอยบางขุนนนท์ 29 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700

 ขนส่งสาธารณะ                   ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สถานี(ท่าพระ - บางซื่อ)(บางขุนนนท์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Tesco Lotus ปิ่นเกล้า
Major ปิ่นเกล้า
Makro จรัญสนิทวงศ์
Central ปิ่นเกล้า
ตลาดบางขุนนนท์
ตลาดวังหลัง
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โรงพยาบาลยันฮี
โรงพยาบาลศิริราช

หน้า: [1] 2 3 ... 7