ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

ผู้เขียน หัวข้อ: 5 ปัญหาสุขภาพจิตคุกคามชีวิตวัยทำงาน  (อ่าน 2456 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ abbeygk

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 153
    • ดูรายละเอียด


ในตอนวัยที่จะต้องรับศึกหนักจากปัญหาภายในสังคมรอบด้าน ทั้งยังแรงกดดันจากหน้าที่การงานอันหนัก สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ลดน้อย และก็ภาพลักษณ์ที่การเปรียบเทียบจากสังคม หลอมรวมคือปัญหาด้านที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพที่พร้อมจะรัวหมัดเข้าใส่ไม่ยั้ง ไม่เพียงแค่ทางด้านร่างกาย แต่ว่าจิตใจที่เคลื่อนความนึกคิดและก็ความรู้สึกด้านในก็สามารถป่วยได้ด้วยเหมือนกัน ปัจจุบันนี้มีชาวไทยจำนวนมากเผชิญกับวังวนที่ความตึงเครียดจนถึงสะสมคือปัญหาสุขภาพด้านจิตที่ตกอับ โดยยิ่งไปกว่านั้นวัยทำงานอย่างมนุษย์สถานที่ทำงานทั้งหลายแหล่

ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่คนทำงานออฟฟิศบางทีอาจจะต้องพบเจอนั้น มีอะไรบ้างที่คนทำงานออฟฟิศวัยทำงานแล้วก็เพื่อนพ้องร่วมสถานที่ทำงานพึงสังเกต พวกเราได้เก็บข้อมูลมาฝากไว้ตรงนี้แล้ว

5 ปัญหาสุขภาพจิต ที่คนทำงานออฟฟิศควรจะระวัง
1. เครียดสะสม
การใช้ชีวิตบนความเคร่งเครียด แรงกดดัน รวมทั้งมีความมุ่งหวังสูง 5-6 วันต่ออาทิตย์ มักเป็นต้นเหตุของอาการเครียดสะสม หนึ่งในปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยเป็นแม้กระนั้นไม่รู้ตัว กล่าวได้ว่ารู้สึกตัวอีกครั้งก็บางทีอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างไปแล้ว พินิจได้จากความประพฤติปฏิบัติที่แปรไปอีกทั้งด้านอารมณ์รวมทั้งการใช้ชีวิต ดังเช่นว่า นอนไม่หลับ ตื่นตกดึก นิ่งอึ้ง หมดอาลัยตายอยาก เศร้าใจ อารมณ์ทางเพศลดน้อยลง ฯลฯ ซึ่งถ้าเกิดปล่อยทิ้งเอาไว้บางทีอาจแปลงเป็นภาวการณ์อันตรายที่นำมาซึ่งการเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางกายตามมาได้ ทั้งยังหัวใจ ความดันเลือด ไมเกรน เครียดลงกระเพาะ และก็อื่นๆได้

จัดแจงความเคร่งเครียด (ก่อน) สะสม ด้วยการวิเคราะห์ถึงตัวปัญหาและก็แก้ไขที่ปัจจัยนั้นๆจัดเตรียมสภาพแวดล้อมรอบข้างให้มองชื่นบาน ด้วยการเปลี่ยนแปลงมุมโต๊ะทำงานใหม่ลดความจำเจ และก็บรรเทาตนเองด้วยการออกไปพบปะสนทนาผู้คน ท่องเที่ยว ชอปปิง หรือแนวทางซึ่งสามารถทำเป็นง่ายด้วยการออกไปเดินสูดอากาศที่สวนสาธารณะก็ช่วยทำให้บรรเทาได้ดิบได้ดีเพิ่มขึ้น แม้กระนั้นหากมีความคิดว่าไม่สามารถที่จะจัดแจงกับความเคร่งเครียดด้วยตัวเองได้ หรือเครียดมากมายกระทั่งไม่ไหวชี้แนะให้ขอคำแนะนำจิตแพทย์ หรือนักบรรเทา คุยเพื่อหาทางแก้ไขแนวทางอื่นๆแทน หรือกินยาที่ช่วยทำให้บรรเทาเพิ่มมากขึ้น

2. ภาวการณ์หมดไฟสำหรับการดำเนินงาน (Burnout Syndrome)
บางทีอาจกล่าวได้ว่าคือปัญหาสุขภาพด้านจิตที่กำลังเดินทางมาแรงในกรุ๊ปบุคลากรสำนักงาน เป็นภาวการณ์ความเคลื่อนไหวด้านจิตใจอันมีที่มาจากความตึงเครียดสะสม เดี๋ยวนี้ได้รับการขึ้นบัญชีจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้วว่าเป็นโรคซึ่งสามารถมีผลร้ายแรงและก็รุกรามการดำรงชีวิตได้ถ้าหากมิได้รับการดูแลอย่างถูกทางจากหมอผู้ชำนาญ โดยปัจจัยมักมีเหตุมาจากความตึงเครียดเรื้อรังสำหรับในการปฏิบัติงาน ภาระหน้าที่งานที่หนักสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะรับผิดชอบได้ไหว บ่อนทำลายจิตใจกระทั่งเปลี่ยนภาวะเป็นความหมดไฟท้ายที่สุด ความอ่อนเพลียล้าทางอารมณ์นำมาซึ่งการทำให้มุมมองที่มีต่อการปฏิบัติงานเป็นไปในด้านลบ ขาดความสำราญ ไม่มีแรงดึงดูดใจไม่ต้องการลุกไปออฟฟิตในเช้า รวมทั้งอาจจะก่อให้ความสามารถสำหรับการดำเนินการลดลง ซึ่งถ้าเกิดปลดปล่อยให้นานวันเข้าอาจมีแนวโน้มร้ายแรงขึ้นรวมทั้งเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเซาได้

จัดการกับสภาวะหมดไฟได้อย่างกล้าหาญ เพียงแค่รับทราบว่าร่างกายและจิตใจของตัวเองกำลังไปสู่ภาวการณ์ความเบื่อหน่ายจากการทำงานได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าขนลุกอีกต่อไป ด้วยการเปิดใจกับคนที่อยู่รอบข้าง ขอคำแนะนำเพื่อนผู้ร่วมการทำงาน หรือหัวหน้าถึงปัญหาที่จำต้องแบกรับไว้ เห็นด้วยในความแตกต่าง ฟังข้อคิดเห็นที่บางทีอาจขัดแย้ง ปล่อยวางในเรื่องที่นอกจากการควบคุม ฟื้นฟูปรับแต่งก่อนที่จะสายได้ด้วยตัวเองโดยการไม่ตรวจงานกลับไปทำที่บ้าน แยกเวลาส่วนตัวรวมทั้งงานออกมาจากกันให้ชัดแจ้ง

3. ภาวการณ์ความพอใจในตัวเองต่ำ (Low self esteem)
ปัญหาด้านสุขภาพจิตที่คนทำงานออฟฟิศใครอีกหลายๆคนไม่รู้สึกตัวว่ากำลังพบเจอสภาวะนี้อยู่ โน่นเป็น ความรู้สึกซึมเซา เกลียดสิ่งที่ตนเองได้ตกลงใจทำลงไปแล้วมากมายเสียกระทั่งมีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า สูญเสียความรู้สึกให้เกียรติตนเอง แบกรับปัญหาแล้วก็ยัดเยียดข้อหาว่าเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากตนเองไม่ดีพอเพียง แปลความหมายเรื่องราวต่างๆในทางลบเสมอ เป็นภาวการณ์เสี่ยงมากมายที่จะก้าวผ่านสู่โรคเศร้าใจ สัญญาณเตือนที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้กำลังพบเจอวิกฤติ Low self esteem เป็นความหวั่นไหวไปกับเรื่องเล็กน้อยได้ง่าย ตื่นตระหนก ไปจนกระทั่งกลัวการเข้าสังคมด้วยเหตุว่ากลัวที่จำต้องถูกไม่ยอมรับ เวลาเดียวกันก็ไม่กล้าไม่ยอมรับคำร้องขอของคนอื่นๆเนื่องมาจากกลัวไม่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งอาการพวกนี้มีสาเหตุมาจากการขาดความมั่นใจแล้วก็เชื่อถือในตัวเองที่สะสมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

สร้าง self esteem ด้วยตัวเองได้ก่อนที่จะความมั่นใจและความเชื่อมั่นทางจิตใจจะหายไป โดยเริ่มจากการยกโทษตัวเองในความบกพร่องที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องง่ายๆหรือเรื่องสำคัญขอให้บอกตนเองว่ามันได้ล่วงเลยไปแล้ว บอกขอบพระคุณแล้วก็ให้คำกล่าวชมกับตนเองในทุกการบรรลุเป้าหมายหากแม้เกิดเรื่องเพียงนิดหน่อย จะดีขึ้นถ้าได้แรงช่วยเหลือจากคนที่อยู่รอบข้าง ซึ่งสามารถมอบพลังบวกรวมทั้งความสุขใจให้ได้ สารภาพว่าความเสร็จของแต่ละคนสื่อความหมายแตกต่างกัน หยุดเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ความสำราญก็จะเกิดขึ้นได้ในหัวใจพวกเราเอง

4. โรคเซื่องซึม (Depression)
เป็นการป่วยอย่างหนึ่งเหมือนกับโรคทางกายประเภทอื่นๆการเป็นโรคซึมเซามิได้หมายความว่าเป็นคนไม่แข็งแรง หรือไร้ความรู้ความเข้าใจ แต่ว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากความไม่พอดีของสารสื่อประสาทในสมอง ที่ส่งผลกระทบโดยรวมต่ออารมณ์ ความรู้สึก ความประพฤติ ไปจนกระทั่งสุขภาพทางร่างกาย ซึ่งจากสถิติพบว่าชาวไทยแก่กว่า 15 ปี มีปัญหาสุขภาพทางจิต มีอาการป่วยเป็นโรคเศร้าหมองสูงขึ้นยิ่งกว่า 1.5 ล้านคน เพราะว่านอกเหนือจากสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มาพร้อมความเคร่งเครียดจากงานที่กองล้นโต๊ะ แรงกดดันจากการทำงานที่สะสางได้ยาก สภาพสังคม กรรมพันธุ์ รวมทั้งสภาพแวดล้อม ล้วนมีส่วนสำคัญที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดสภาวะซึมเซาด้วย พวกเราสามารถตรวจตนเองแล้วก็คนที่อยู่รอบข้างว่าอยู่ในข่ายโรคกลัดกลุ้มหรือเปล่า ด้วยอาการซึม เศร้าใจ หมดหวัง เก็บตัว รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เคยทำให้แฮปปี้ ซึ่งบางทีอาจร้ายแรงไปจนกระทั่งขั้นคิดสั้น หรือทำข้อสอบภาวการณ์ซึมเซา เพื่อประเมินสุขภาพด้านจิตของตนพื้นฐาน


5. กรุ๊ปโรคตื่นตระหนกรวมทั้งแพนิค (Panic Disorder)
เป็นโรควิตกประเภทหนึ่ง มีต้นเหตุมาจากระบบประสาทอัตโนมัติที่รอควบคุมส่วนต่างๆของร่างกายดำเนินการไม่ดีเหมือนปกติ รวมทั้งมีความตึงเครียดและก็แรงกดดันเข้ามาเป็นสิ่งกระตุ้น มักออกอาการได้หลายแบบด้วยกัน ดังเช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อแตกมากมาย หายใจแรง อ้วก ตาลายแบบทันควัน ตัวชา คุมตัวเองมิได้ ไปจนกระทั่งการกลัวสิ่งรอบข้างกระทั่งทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่รุกรามชีวิตของมนุษย์เงินเดือนไม่มากมายก็น้อย

โรควิตกสามารถรักษาได้ด้วยการกินยาเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง พร้อมกันไปกับการฝึกฝนหายใจเพื่อควบคุมอารมณ์ รู้ทันความรู้สึกวิตกกังวลในใจที่เกิดขึ้น หากแม้อาการด้านนอกจะมองปลอดภัยรุนแรง แต่ว่าแม้อยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคไม่สบายใจแล้วควรจะขอคำแนะนำสุขภาพที่เกี่ยวข้องทางจิตกับจิตแพทย์ เพื่อเข้ารับการดูแลรักษาที่ถูก เนื่องด้วยลักษณะของโรคคล้ายกับปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆที่บางทีอาจมีผลรุนแรงมากยิ่งกว่า ได้แก่ โรคความดันเลือดสูง หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจ


อย่าทำให้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตอย่างโรคกลัดกลุ้มรุกรามชีวิตจนถึงเกินปรับแก้ พวกเราสามารถไกลห่างโรคซึมเซาได้ด้วยการคลายอารมณ์ความเครียดจากงาน ฝึกหัดให้ตัวเองคิดบวกมองโลกแง่บวก แบ่งเวลาออกไปดำเนินงานอดิเรกที่ถูกใจ รวมทั้งบริหารร่างกายรวมทั้งพักให้พอเพียง แต่ว่าแม้อยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงแล้วสามารถจัดการภาวการณ์เศร้าหมองด้วยการปรึกษาขอคำแนะนำจิตแพทย์ เพื่อพินิจพิจารณาและก็หาหนทางรักษาอย่างถูกแนวทาง รวมทั้งเมื่อได้โอกาสได้สนิทสนมกับคนป่วยโรคเศร้าใจ การเป็นคนฟังที่ดีจะช่วยทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกบรรเทาได้มากขึ้น

ปัญหาด้านสุขภาพจิตคือปัญหาซึ่งสามารถกำเนิดได้กับทุกเพศ ทุกอาชีพ แล้วก็ทุกวัย เมื่อรู้สึกไม่ไหวบอก “ไม่ไหว” ไม่ต้องไปฝืนใจ เนื่องจากว่าโน่นบางทีอาจเป็นการปกปิดปัญหารวมทั้งรังควานตนเองมากมายไปกว่าเดิม ไม่เพียงแค่คนทำงานออฟฟิศแค่นั้น การรับทราบตนเอง รู้เรื่องภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นฐาน ก็สามารถทำให้พวกเรารู้ทันแล้วก็เตรียมความพร้อมต่อกรกับสุขภาพเกี่ยวกับจิตที่เปลี่ยนได้อย่างถูกแนวทาง ด้วยเหตุผลดังกล่าวอย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายจิตให้เข้มแข็ง ร่วมกับสุขภาพทางร่างกายที่แข็งแรง ดูสหายร่วมสำนักงานด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันเมื่อได้โอกาส เปิดโอกาสตนเองได้จุดโฟกัสชีวิตในมุมมองที่สุขสบายกันเถิด

ถ้ารู้สึกตัวว่าภาวการณ์เครียดเริ่มรุกรามจิตใจ หรือกำลังเจอปัญหาด้านของสุขภาพจิต สามารถติดต่อศูนย์บริการเฉพาะทางเพื่อขอความเห็นจากจิตแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ และก็รับการดูแลรักษาอย่างถูกทางถัดไป

ศูนย์สุขภาพหัวใจ ชั้น 18 โรงหมอหลุดพ้น
เวลา 08.00-17.00 น. หรือโทร 02-079-0078
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายหมอ หรือบริการหารือแพทย์ออนไลน์